นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้พบปะหารือร่วมกับคณะกรรมการสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย (สภาดิจิทัลฯ) นำโดย นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสผู้ร่วมก่อตั้งสภาดิจิทัลฯ และ ม.ร.ว.นงคราญ ชมพูนุท ประธานสภาดิจิทัลฯ พร้อมด้วย รองประธานสภาดิจิทัลฯ นายลักษมณ์ เตชะวันชัย  ดร.วีระ วีระกุล  นายณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์  นางเขมนรินทร์ รัตนาอัมพวัลย์  นายประกอบ จ้องจรัสแสง ว่าที่ร้อยตรี ดร.ธเนศ โสรัตน์ และ ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการสภาดิจิทัลฯ เพื่อกำหนดทิศทางและแนวทางในการผนึกกำลังขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค โดยวางแผนพัฒนาภายใต้แนวคิด Growth Engine of Thailand ครอบคลุมการสร้างนวัตกรรม กำลังคนดิจิทัล เศรษฐกิจดิจิทัล และดิจิทัลเพื่อความยั่งยืน

นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสผู้ร่วมก่อตั้งสภาดิจิทัลฯ ระบุว่า ปัจจุบันการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยยังตามหลังประเทศเพื่อนบ้านทั้งในด้านนวัตกรรมและจำนวน Startup โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนบุคลากรที่มีความรู้เทคโนโลยี และการสนับสนุนจากภาครัฐในโครงการต่าง ๆ เช่น Accelerator และ Seed Fund แนวทางที่สำคัญคือการสร้าง Innovation Clusters อย่างน้อย 5 แห่งทั่วประเทศ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งในการพัฒนาและเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย รวมถึงการลงทุนในด้านการศึกษาและวิจัย เพื่อสร้างนวัตกรรมที่แข่งขันได้ระดับโลก นอกจากนี้ ยังชี้ถึงความสำคัญของการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในโครงการ Smart City และ Smart School ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดอัตราอาชญากรรม โดยยกตัวอย่างจากความสำเร็จของเมืองเซินเจิ้น และได้เน้นย้ำถึงการส่งเสริมสื่อคุณธรรมและจริยธรรมในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ เพื่อสนับสนุน Soft Power ไทยสู่เวทีโลกและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน

พร้อมกันนี้ ประธานอาวุโสผู้ร่วมก่อตั้งสภาดิจิทัลฯ ได้กล่าวต่อไปว่า ในการจัดอันดับ IMD World Digital Competitiveness Ranking 2023 ประเทศไทยได้ขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 35 ของโลก สะท้อนถึงการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนาที่ก้าวกระโดด และย้ำว่าการพัฒนาเศรษฐกิจต้องมาควบคู่กับการพัฒนาสังคม เพื่อให้ประเทศไทยก้าวหน้าอย่างยั่งยืน

ขณะที่ ม.ร.ว.นงคราญ ชมพูนุท ประธานสภาดิจิทัลฯ ได้ชี้ถึงบทบาทสำคัญของสภาดิจิทัลฯ ในการเป็นผู้นำภาคอุตสาหกรรมดิจิทัลที่ทำงานร่วมกับภาครัฐ เอกชน และประชาชน เพื่อสร้างอนาคตดิจิทัลที่แข็งแกร่งให้กับประเทศไทย  ซึ่งสภาดิจิทัลฯ มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและมีการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม เช่น การผลักดันแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13  กฎหมายยกเว้นภาษีสำหรับการลงทุนใน Startup และมาตรการ Thailand Plus Package  พร้อมกันนี้ สภาดิจิทัลฯ ได้เสนอแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่  1)นวัตกรรม (Innovation) : สร้างสรรค์เทคโนโลยีและโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศ 2) กำลังคนดิจิทัล (Digital Workforce) : เพิ่มพูนทักษะบุคลากรให้พร้อมสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัล 3) เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) : ขยายขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 4) ดิจิทัลเพื่อความยั่งยืน (Digital Sustainability) : สร้างเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน ทั้งนี้ ม.ร.ว.นงคราญยังเน้นย้ำถึงการร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางดิจิทัลที่สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล

ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี กล่าวว่า  ข้อเสนอจากสภาดิจิทัลฯ สอดคล้องอย่างยิ่งกับนโยบาย Growth Engine of Thailand ของรัฐบาล ซึ่งมุ่งขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่แข็งแกร่งใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1) การเพิ่มขีดความสามารถด้านดิจิทัลในการสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของประเทศ โดยการสร้าง Data Center, พัฒนา AI และระบบรัฐบาลดิจิทัลที่มีความทันสมัย 2) การสร้างความปลอดภัยในเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ผ่านการจัดเก็บข้อมูลในประเทศ (Data Localization) และการพัฒนา Application ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ 3) การเพิ่มศักยภาพบุคลากรดิจิทัล ด้วยการเสริมสร้างทักษะดิจิทัลให้ประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อรองรับตลาดแรงงานดิจิทัลในอนาคต

ในการประชุมครั้งนี้ นายประเสริฐ มอบหมายให้สภาดิจิทัลฯ ร่วมมือกับกระทรวงดีอีและสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (DGA) เพื่อขับเคลื่อนข้อเสนอต่าง ๆ ให้เป็นจริง นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้สภาดิจิทัลฯ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ Soft Power แห่งชาติ เพื่อช่วยขับเคลื่อนศักยภาพของประเทศไทยในเวทีโลก พร้อมร่วมกันกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และแผนปฏิบัติการในการพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลภายใน 3 ปี โดยมีการรายงานผลความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง

การผนึกกำลังในครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงบทบาทที่แข็งแกร่งของสภาดิจิทัลฯ ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนที่พร้อมร่วมมือกับภาครัฐเพื่อผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจดิจิทัลแห่งภูมิภาคอย่างแท้จริง