เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล กับพวก ออกแถลงการณ์ถึงสื่อมวลชนทุกสำนัก วันที่ 27 ตุลาคม 2567 เรื่อง ปกป้องการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ระบุว่า ตามที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้กล่าวอ้างว่า การนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนทำให้นายอัจฉริยะ ในทำนองที่ตีเนียนเข้าห้องพนักงานสอบสวนที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการนำเสนอข่าวทำให้นายอัจฉริยะได้รับความเสียหาย และจะฟ้องสื่อมวลชนทุกสำนักหากยังไม่แก้ข่าวนั้น

ผมในฐานะทนายความของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด และนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือบอสพอล กับพวก ขอปกป้องการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกสำนัก เพราะการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนในกรณีที่นายอัจฉริยะฯ ใช้อำนาจหรือสิทธิพิเศษอะไรเข้าไปพบนายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือโค้ชแล็ป (ผู้ต้องขังของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ) ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ผู้ที่โค้ชแล็ปให้ความไว้วางใจ ทั้งยังปรากฏในข้อมูลข่าวที่นายอัจฉริยะได้บอกสื่อมวลชนว่าภรรยาของโค้ชแล็ป รวมทั้งเพื่อนรุ่นพี่ของโค้ชแล็ป ติดต่อให้เป็นบุคคลที่ผู้ต้องขังให้ความไว้วางใจจึงเข้าไปฟังการสอบถามของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้

ข้าพเจ้าขอเรียนต่อสื่อมวลชนว่า การเข้าพบผู้ต้องขังตามระเบียบของเรือนจำต้องได้รับการรับรองจากผู้ต้องขังเท่านั้น ไม่ใช่จากญาติของผู้ต้องขัง และไม่ปรากฏว่าโค้ชแล็ปลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจของนายอัจฉริยะจึงทำให้นายอัจฉริยะฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในคดีนั้นและไม่มีสิทธิเข้าร่วมการฟังการสอบถามหรือร่วมฟังการสอบปากคำร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือพนักงานสอบสวนได้ และจากข้อมูลข่าวนายอัจฉริยะฯ แจ้งต่อสื่อมวลชนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปสอบถามโค้ชแล็ป ไม่ใช่พนักงานสอบสวน แต่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นสืบสวนปรากฏตามที่นายอัจฉริยะฯ ให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนยิ่งทำให้เห็นว่านายอัจฉริยะฯ ไม่มีอำนาจหรือมีสิทธิเข้าร่วมการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด

ทั้งสื่อมวลชนได้พยายามสอบถามข้อมูลจากทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยนายปราโมทย์ ทองศรี รักษาการแทนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้ให้ข้อมูลว่าผู้ต้องขัง (โค้ชแล็ป) ไม่ได้ลงลายมือชื่อแต่งตั้งให้นายอัจฉริยะฯ เป็นผู้รับมอบอำนาจ แสดงให้เห็นว่านายอัจฉริยะฯ ไม่มีสิทธิโดยชอบธรรมตามกฎหมายของโค้ชแล็ป และไม่ปรากฏว่านายปราโมทย์ ทองศรี รักษาการแทนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนว่าได้อนุญาตหรือมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ท่านใดอนุญาตให้นายอัจฉริยะฯ เข้าไปพบผู้ต้องขัง (โค้ชแล็ป) ที่ห้องพนักงานสอบสวนได้

จากกรณีที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสื่อมวลชนทุกสำนักได้นำเสนอข่าวที่ได้จากข้าพเจ้าที่ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2567 และสื่อมวลชนได้เสนอข่าวจากข้อมูลที่ได้สอบถามนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ทั้งยังนำเสนอข่าวจากข้อมูลที่ได้สอบถามนายปราโมทย์ ทองศรี รักษาการแทนผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จึงเห็นได้ว่าสื่อมวลชนทุกสำนักได้นำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาตามหน้าที่และจรรยาบรรณของการเป็นสื่อมวลชน

ข้าพเจ้าจึงไม่เห็นด้วยที่นายอัจฉริยะฯ ขู่ดำเนินคดีกับสื่อมวลชนที่นำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา และข้าพเจ้าขอแจ้งให้สื่อมวลชนทราบว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 35 วรรคหนึ่ง ได้รับรองเสรีภาพของสื่อมวลชนไว้ว่า “บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ” การทำหน้าที่ของสื่อมวลชนทุกสำนักไม่ได้มีความผิดตามกฎหมาย ข้าพเจ้าขอเป็นกำลังใจให้สื่อมวลชนทุกสำนักในการนำข่าวให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบ ซึ่งสื่อมวลชนทุกสำนักทำหน้าที่ด้วยดีมาโดยตลอด และขอให้สื่อมวลชนทุกสำนักมีความหนักแน่นไม่เกรงกลัวต่อการนำข่าวสารให้กับประชาชนต่อไป

ขอแสดงความนับถือ
นายวิฑูรย์ เก่งงาน
ทนายความของบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด
และนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล กับพวก