สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 28 ต.ค. ว่าไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีให้กับครอบครัวที่มีบุตร ไปจนถึงสงครามในยูเครน นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีและตัวแทนพรรคเดโมแครต และนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำซึ่งเป็นแคนดิเดตของพรรครีพับลิกัน มีจุดยืนค่อนข้างแตกต่างกันอย่างชัดเจน


ทั้งนี้ ทรัมป์ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐระหว่างปี 2560-2564 ใช้นโยบายลดภาษีภาคธุรกิจและกลุ่มผู้มีฐานะ มีแผน ตั้งกำแพงภาษีไม่ต่ำกว่า 10% กับสินค้านำเข้าทุกประเภท โดยทรัมป์ให้เหตุผลว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลวอชิงตันในอนาคตสามารถลดภาษีให้กับชาวอเมริกันได้


ขณะเดียวกัน ทรัมป์ประกาศแผนการพัฒนาสหรัฐให้เป็น “เมืองหลวงแห่งเงินคริปโตโลก” และเปิดตัวสกุลเงินคริปโตของตัวเอง เมื่อเดือนก.ย. ที่ผ่านมา


ด้านแฮร์ริสหาเสียงโดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มคนชั้นกลางมากกว่า โดยมีการเสนอแนวนโยบาย “เศรษฐกิจสร้างโอกาส” และเสนอมาตรการขึ้นภาษีสำหรับกลุ่มคนมีฐานะ “ในอัตราค่อยเป็นค่อยไป”


นอกจากนี้ แฮร์ริสยังเสนอ นโยบายลดหย่อนภาษี ให้กับครอบครัวที่มีบุตรวัยเยาว์ การมีส่วนลดให้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก และการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก หรือ เอสเอ็มอี


ในส่วนของ นโยบายผู้อพยพ ทรัมป์กล่าวว่า หากได้รับการเลือกตั้ง จะเนรเทศผู้อพยพผิดกฎหมาย “ทั้งหมด” ทั้งนี้ ระหว่างดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐ ทรัมป์เดินหน้านโยบายสร้างกำแพงบนแนวชายแดนที่ติดกับเม็กซิโก และเรียกเก็บเงินจากอีกฝ่าย


ขณะที่แฮร์ริสมีนโยบายจริงจังกับเรื่องนี้เช่นกัน โดยเธอเตือน “ผลกระทบร้ายแรง” กับผู้ที่ลักลอบเดินทางเข้ามาในสหรัฐ


เกี่ยวกับจุดยืนของทั้งสองคนในเรื่อง การทำแท้ง แฮร์ริสกล่าวว่า หากชนะการเลือกตั้ง เธอจะเดินหน้าผลักดันการรื้อฟื้นกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิการทำแท้ง ส่วนทรัมป์มีแนวคิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยกล่าวว่า จะเพิ่มความเข้มงวดในการใช้ยาและเครื่องมือแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้ง หากได้รับการเลือกตั้ง


ด้าน สงครามในยูเครนและฉนวนกาซา ทรัมป์กล่าวว่า “ต้องยุติทันที” เมื่อเขาได้รับการเลือกตั้ง แต่ยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วนแฮร์ริสกล่าวว่า จะสนับสนุนยูเครน และ “สิทธิในการป้องกันตนเอง” ของอิสราเอลต่อไป


อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งทรัมป์และแฮร์ริสแทบไม่ได้นำเสนอ นโยบายเกี่ยวกับ เรื่องสิ่งแวดล้อม ที่ชัดเจนมากนัก.

เครดิตภาพ : AFP