เมื่อวันที่ 26 ต.ค. นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล กล่าวถึงกรณีที่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินการฟ้องร้องนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ หรือเอก สายไหมต้องรอด จากการนำพยานเท็จมาให้แถลงข่าวกับให้การกับตำรวจ ว่า ตอนนี้ได้รับมอบอำนาจมาแล้ว แต่ยังไม่ได้ยื่นแจ้งความ เพราะต้องรอให้ทีมทนายความที่ดูแลเรื่องการดำเนินคดีกับบุคคลต่างๆ เป็นผู้ดำเนินการ โดยตนทำหน้าที่ต่อสู้คดีหลัก แต่เรื่องการฟ้องร้องดำเนินคดีกับบุคคลต่างๆ จะมีออร์เดอร์มาอีกเยอะเป็นหางว่าว จึงต้องตั้งทีมขึ้นมา

นายวิฑูรย์ กล่าวว่า บอสพอลได้เตรียมมอบอำนาจให้ดำเนินคดีเป็นออร์เดอร์ที่ 4 เป็นแม่ข่ายสาวที่ไปออกมารายการดัง เพื่อชุบตัวจากแม่ข่ายให้กลายเป็นผู้เสียหาย ในข้อหาหมิ่นประมาทฯ เพราะแม่ข่ายรายนี้ได้รับเงินจากบริษัทเป็นจำนวนมาก แต่กลับไปออกรายการแล้วบอกว่าตนเองเป็นผู้เสียหาย และอาจจะพิจารณาดำเนินคดีกับกลุ่มผู้เสียหายที่แม่ข่ายสาวรายนี้พามาแจ้งความด้วย เพราะต่างก็ได้ยอดกำไรจากการขายสินค้าไปเยอะแล้ว

ส่วนกรณีทนายความคนดังที่มีการเรียกรับเงิน 7 ล้านบาท ที่อ้างว่าจะนำไปคืนกับผู้เสียหายนั้น ตอนนี้พยานหลักฐานไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ขอให้ทีมงานตรวจสอบก่อน เพราะต้องการทำให้รัดกุม และจึงจะดำเนินคดี  

“ผมมีคลิปเสียงหลักฐานอีกกว่า 100 คลิป ซึ่งต้องไปเอาจากกลุ่มเลขาฯ บอสดิไอคอน โดยตอนนี้ยังไม่ทราบว่าเป็นคลิปเสียงของใครบ้าง และต้องนำมาตรวจสอบก่อน แต่ยืนยันว่า จะไล่ดำเนินคดีทั้งหมด ส่วนกรณีการยื่นประกันตัวกลุ่มบอส ที่ถูกคุมขังอยู่ในขณะนี้ว่า ตอนนี้จะยังไม่ยื่นประกันตัว คงต้องรอให้ตำรวจทำการสอบสวนจนพ้นการฝากขังผัดแรกไปก่อน แต่ก็มีการคุยกันว่า หากมีการยื่นประกันตัว อาจจะใช้หลักทรัพย์ประมาณ 5 ล้านบาท” ทนายบอสพอล กล่าว

สำหรับกรณีที่วานนี้ (25 ต.ค.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ได้เข้าไปในเรือนจำฯ พร้อมกับพนักงานสอบสวน บก.ปปป. โดยอ้างว่าได้รับการยินยอมจากญาติของผู้ต้องหานั้น ยืนยันว่า ในห้องดังกล่าวที่นายอัจฉริยะเข้าไป เป็นห้องพนักงานสอบสวนที่แม้แต่ทนายความของผู้ต้องหาก็ยังเข้าไปฟังไม่ได้ ซึ่งตนได้สอบถามน้องสาวของโค้ชแล็ปแล้ว ยืนยันว่าไม่รู้เรื่องดังกล่าว แต่ก็ไม่รู้ว่าภรรยาของโค้ชแล็ปจะมีการติดต่อไปหรือไม่