กลายเป็นประเด็นร้อนแรงบนโลกเให้ความสนใจอย่างมาก จากกรณี “ต้นหอม ศกุนตลา” นักแสดงชื่อดัง หลังจากที่ได้ออกมาเปิดใจและชี้แจงเรื่องแบรนด์ Eighteen หลังถูก อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ โยงเป็นธุรกิจแบบเดียวกับบริษัทที่กำลังเป็นกระแสช่วงนี้ ด้านต้นหอมได้ยืนยันว่ามีหลักฐานหมดและเคลียร์จบตั้งแต่ 5 ปีก่อน ซึ่งการที่คุณอัจฉริยะ ออกมาขุดเรื่องนี้ สร้างผลกระทบให้กับต้นหอมและคนอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ออนไลน์ มีโอกาสได้เจอต้นหอม ในงาน “ROBINSON SUPER JEANS WEEK” ต้นหอมได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ว่า

“ไม่ได้อยากเป็นศัตรูกับใคร ไม่อยากผิดใจกับใคร แต่เราก็ต้องออกมาปกป้องตัวเอง เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่คาราคาซังมาโดยตลอด ทุกครั้งที่เกิดปัญหาอะไร เราจะกลายเป็นคนที่เหมือนเป็น Case study ที่ถูกเอามาเปรียบเทียบทุกครั้ง
ก็ดีนะที่พี่หนุ่ม(กรรชัย)ต่อสายหา เพราะถ้าไม่ต่อสายหาเรา ประเด็นนี้มันคงไม่จบ หอมก็คงโดนซัดอยู่ฝ่ายเดียว พอพี่หนุ่มพูดเราก็มีโอกาสได้แก้ต่างเหมือนกันให้สังคมรับรู้ ธุรกิจตัวแทนหรือธุรกิจตัวแทน มันเป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย มันสามารถทำได้ แต่ใครจะซิกแซ็กหรือทำอะไรที่มันแตกต่างก็ว่ากันเป็นเคสบายเคสแต่สำหรับของหอม กับเพื่อนดาราในยุคนั้น เราไม่ใช่แชร์ลูกโซ่จริงๆ เราก็เคลียร์ตัวเองไปแล้วเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว ก็อยากให้มันจบ เมื่อ 5-6 ปีที่แล้วเราเจ็บตัวมากจริงๆ เราก็เฮิร์ตและหลอนถูกตราหน้าว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ ไม่ได้อยากให้มันกลับมาอีกแล้ว ความรู้สึกเก่าๆ มันเจ็บปวด มันจะมีผลต่อภาพลักษณ์เราด้วย ก็รู้สึกใจคอไม่ดี ตั้งแต่มีเรื่องดิไอคอนขึ้นมา ดาราทุกคนตอนนี้เราคุยกันว่า ต้องเลือกรับงานยังไง เพราะขนาดดิไอคอนกรุ๊ปเป็นบริษัทที่ใหญ่มาก แล้วดำเนินการมาหลายปี เอาตรงๆ ถ้าเขาเรียกหอมไปอีเว้นต์ หอมไม่มีทางรู้หรอกว่านี่คือถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย แล้วดาราเวลาจะรับงานแต่ละทีเราต้องมีเกณฑ์อะไร แล้วเวลาเรารับงานจะรู้ว่าบริษัทมีตัวตนมั้ย ผลิตภัณ์มี อย.มั้ย นี่คือสิ่งที่เราตรวจสอบ ทีนี้เราไม่รู้เลยว่าต้องตรวจสอบอะไรอีก มันขนลุกกันไปหมด“

“พอถูกหยิบเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาอีก ดาราทุกคนก็เริ่มกลัวว่าที่เก่าๆ เราเคยรับงานอะไรกันบ้าง มันกลายเป็นหลอนทั้งวงการจริงๆ ตอนนี้ถ้างั้นขอความเป็นธรรมให้กับดาราคนอื่นๆ ได้มั้ย ที่ผ่านมาเรารับงานก็ตรวจสอบได้เท่านี้จริงๆ การตรวจสอบเชิงลึกไปกว่านั้นมันไม่ได้ มันไม่รู้ว่าต้องตรวจสอบยังไง เรื่องอดีตที่มันจบไปแล้วถูกขุดขึ้นมา เรามีอะไรที่ผิดพลาดอีกมั้ย แต่จำได้ว่าเราเคลียร์ไปแล้วจริงๆ เท่าที่เราดูคลิปที่พี่เขาออกมาพูด หอมก็จำได้ว่าทั้งหมดมันเคลียร์ไปแล้ว มันผิดตรงไหนอีก ก็กังวลนะ คือในความรู้สึกเรา ถ้าผู้เสียหายอยู่จนป่านนี้มันก็หมดอายุความไปแล้ว สมมติว่าถ้าทำอะไรผิดพลาดจริงในอดีต มันหมดอายุความไปแล้ว แล้วถ้ามาเรียกร้องตอนนี้ เอาตรงๆ มาถามเราว่าทำผิดพลาดเรื่องนั้นเรื่องนี้หรือเปล่า เราต้องกลับไปนึกเลยนะ 5-6 ปีที่แล้วเราทำอะไว้ เพราะจำได้ว่ามันเคลียร์จบไปแล้ว มันก็คือจบ แต่เท่าที่เราถามพี่เขาในรายการ ปัญหามีแค่นี้ใช่มั้ย เพราะถ้ามีแค่นั้น หอมจำได้ว่าอันนั้นคือปัญหาใหญ่ที่เราเคลียร์ 100 เปอร์เซ็นต์ว่าเราบริสุทธิ์

”ใครที่ใส่เครื่องแบบลงทุกหน่วยงาน เพราะว่ามันเป็นกระแสที่ดังมากในยุคนั้น ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่ปล่อยอยู่แล้ว เขาก็ทำหน้าที่อย่างถึงที่สุด แต่เขาก็ให้ความเป็นธรรมกับหอม กับแบรนด์อื่นๆ เหมือนกัน ให้มีโอกาสได้ชี้แจง จำได้ว่าตอนนั้นเราก็ชี้แจงไปแล้วว่าเราไม่ใช่แชร์ลูกโซ่จริงๆ แล้วเราไม่มีผู้เสียหายไปร้องอะไรทั้งนั้น ที่มีผลกระทบตอนนั้น คนกลุ่มหนึ่งขายสินค้าไม่ได้ ล็อตแรกขายได้เพราะตอนนั้นยังไม่มีเหตุอะไร แต่พอหลังจากนั้นที่มันโดนแบรนด์ใหญ่ล้ม เมจิกสกินล้มปุ๊บ ทั้งหมดขายไม่ได้ ไม่ใช่แค่แบรนด์เราแบรนด์เดียว ใครก็ตามถือสินค้าในระบบตัวแทนขายไม่ได้เลย มันคือเอฟเฟ็กต์ค่ะ โดยที่ไม่ใช่ความผิดของเรา มันเหมือนคนที่ลงเรือด้วยกัน แล้วเวลามันล่ม หอมก็ล่ม ไม่ใช่ว่าเขาล่มแล้วหอมรอด แล้ววันที่ล่ม หอมก็บอกว่าหอมมีเรือฉุกเฉินให้นะ มีเสื้อชูชีพให้นะ เดินเข้ามาเอา หอมช่วยเหลือ ฉะนั้นใครที่เดินมากับหอมเรารอดไปด้วยกัน แต่มันจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ทิ้งไปเลย ขายไม่ได้เอง ก็ยอมจำนน ซึ่งหอมรู้สึกว่ามันไม่น่ามีผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบอื่นๆ อีก”

“หอมตอบไม่ได้ว่าผู้เสียหายท่านนี้คืออะไร จุดประสงค์ต้องการอะไร แต่แค่มันมีความผิดปกติมากๆ พวกเราได้รับผลกระทบ ในส่วนของคนอื่นหอมไม่รู้ แต่เสียชื่อเสียงแน่ๆ ทั้ง 4 คน หอมที่ได้รับผลกระทบ คืออีเวนต์หอมถูกแคนเซิล เพราะเขาให้เหตุผลว่ามันเสียภาพลักษณ์ แต่หอมเข้าใจเพราะเป็นอีเว้นต์ต่างประเทศ เขาซีเรียสและไม่รู้เรื่องของไทยหรอกว่ายิ่งมีข่าวเวลายืนหน้าแบคดรอปมันดีมากนะ เขาจะไม่รู้ตรงนี้ เขาแค่ไม่เอาดีกว่า และก็มีดาราที่ปฏิเสธการร่วมงาน แต่เราเข้าใจจริงๆ ว่าทุกอย่างมันเป็น digital footprint ถ้ามาร่วมงานแล้วต่อไปภายใน 5 ปี ขุดภาพนี้ขึ้นมาอีก เขาก็กังวลใจ อันนี้ก็คือสิ่งที่เราได้รับผลกระทบ แต่สิ่งที่เราได้รับกลับมาดีๆ ก็มี เราได้พรีเซ็นเตอร์ 2 ตัว บวกลบคูณหารเรายังกำไรอยู่ ก็โอเค เหตุผลที่ยังเชื่อมั่นในตัวเราอยู่ เขาก็พินิจพิเคราะห์แล้วเข้าใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา เขารู้สึกว่าไม่ควรปิดโอกาสเรา ในมุมของการทำธุรกิจ เขามองว่าเราคือคนที่เหมาะสมแล้วมันไปต่อด้วยกันได้ ถ้าเกิดปฏิเสธหอม เขารู้สึกว่ามันไม่แฟร์ ถามว่าจะฟ้องกลับมั้ยที่ถูกทำให้เสียชื่อเสียงทั้ง 4 คน หอมตอบแทนคนอื่นไม่ได้จริงๆ เพราะว่าทั้ง 4 คนได้รับความเสียหาย แต่สำหรับหอม ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องนี้ ประเมินจากความเสียหายที่เกิดขึ้น ณ วันนี้ยังอยู่ในจุดที่หอมยังรับได้ ถ้าเกิดว่าไม่มีใครร่วมงานกับหอมอีกเลย คือการฟ้องมันยุ่งยากมาก มันต้องใช้เงิน มันเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แล้วหอมไม่รู้ว่าถ้าเกิดพลาดไปแล้วเขาฟ้องกลับเราได้มั้ย อันนี้ในส่วนของตัวหอมนะ คือหอมยังไม่ได้เสียหายขนาดนั้น คือหอมยังมีโอกาสได้พื้นที่ในการชี้แจง ทุกคนเข้าใจหอม ฉะนั้นเหมือนหอมรอด แต่กับคนอื่นที่ไม่ได้ชี้แจง หอมไม่รู้ว่าเขาจะยังไง ถามว่าเสียภาพลักษณ์มั้ย ก็เสียเลย เพราะมันมีการบอกชัดเจนว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ หลอกลวงประชาชน ก็มีหลายกรรมอยู่ สำหรับหอมไม่ได้ต้องการอะไร แต่ถ้ามันไม่ได้เกิดเรื่องจริงขึ้นมา อยากได้สปิริต ถ้ามันไม่ใช่ ก็ขอโทษก็ได้”

“หอมอยากให้พี่แก้ข่าวให้หน่อย สิ่งที่พี่(อัจ)ได้รับมาจากผู้เสียหาย พี่เข้าใจผิด มันมีใบอยู่แล้วที่เราถ่ายรูปเก็บไว้ มันมีข่าวเก่าๆ ที่องค์การอาหารและยาคอนเฟิร์มเรา ถ้าไปเสิร์ชข่าวได้ ท่านผอ.สุภัทรา เป็นคนบอกเองว่าตัวเลขหลังกล่องที่ทำให้คนเข้าใจผิด ท่านอธิบายไปแล้วว่า ตัวเลขแบบนี้มันอาจจะแปลกสักหน่อย แต่มันมีความหมายที่ถูกต้อง ไม่ใช่ตัวเลขที่เราเอามาสวมแต่อย่างใด สิ่งที่มีคนร้องเรียนที่บอกเสียหายไป 2 แสนเสียหายเรื่องอะไร ซื้อสินค้าก็ต้องเสียเงิน จะลงทุนก็ต้องเสียเงิน คือล็อตแรกมันขายได้จริงๆ ล็อตแรกคนลงทุนเท่าไหร่ ล็อตสองลงทุนเยอะกว่าเดิม ฉะนั้นไม่แปลกที่จะเสียหายมากกว่าเดิม ทีนี้ความตลาดผันผวนที่เราโดนเอฟเฟ็กต์มาก็ไม่ได้ผิดที่เรา เราเองก็ได้รับผลกระทบ เรือที่เราขึ้นล่ม เราล่มด้วย ไม่ใช่ว่าเขาล่มแล้วเรายังไปต่อได้ เขาพังเราพังเหมือนกัน มันคือลงเรือลำเดียวกัน อย่างที่บอกหอมช่วยเหลือแล้วโดยการที่ให้มาเคลมหรือเปลี่ยนสินค้า แต่สิ่งที่หอมช่วยไม่ได้เลย คือการให้เงินคืน หอมให้อาชีพต่อไปได้ ใครที่ไปกับหอมต่อ หอมหาสินค้าใหม่ให้ ซึ่งคนที่มาเปลี่ยนสินค้า สรุปเขาก็รอดไปกับหอม แต่ถ้าเราจ่ายเงินคืนแปลว่าเราปิดประตูฝังทุกคน เพราะมันต่อยอดไม่ได้ แต่พอให้เป็นสินค้าทุกคนเอาไปขายต่อได้ แล้วมันมีเงินหมุนเวียนในธุรกิจ มันไปต่อได้ มันอยู่ที่ว่าตอนนั้นผู้เสียหายตัดสินใจยังไง ไม่ไปต่อยอมเสียเงินหรือว่าอะไร หอมไม่แน่ใจจริงๆ ผู้เสียหายไม่ได้ชัดเจน”

“ถามว่าโกรธพี่หนุ่มมั้ย ไม่โกรธ แล้วรู้สึกดีด้วยที่พี่หนุ่มต่อสายหา ถ้าพี่หนุ่มไม่ต่อสายหา อาจจะโกรธ เพราะว่าหอมจะโดนอยู่ฝ่ายเดียว ไม่ได้โต้แย้งหรือได้เคลียร์ตัวเอง จริงๆ ไม่ได้อยากไปโต้แย้งนะคะ อยากไปเคลียร์ตัวเองมากกว่า จะได้จบ ตอนนี้เราไปสืบค้นมาแล้วว่าเราไม่ได้เก็บค่าสมาชิก แต่เป็นการเปิดบิล 300 เพื่อซื้อสินค้า จ่ายเงินมาได้สินค้า ไม่มีการเก็บเงินเปล่า หรือหาดาวน์ไลน์แล้วได้เงิน ไม่มีค่ะ ทุกคนต้องได้รับสินค้าในการจ่ายตังค์ แล้วก็โปรโมชั่นต่างๆ ที่แจกโน่นแจกนี่เป็นเรื่องปกติ ในทางกฎหมายทำได้ ไม่ได้กำหนดเดดไลน์ “

ต้นหอมเผยต่อว่า “ไม่ได้บังคับเลยค่ะ แล้วแต่ความสบายใจของทุกคน อย่างที่บอกหอมไม่ได้อยากมีเรื่องกับใคร ในภาวะที่หอมยืนอยู่ตรงนี้แล้วยังสบายใจอยู่ หอมไม่ได้อยากเอาเรื่องกับใคร ที่เขาขยี้คนอื่นด้วย หมายถึงเจ้าของ เป็นเรื่องการเมืองถูกมั้ยคะ ก็ถ้าเราไม่แกล้งโง่ก็ดูว่าไปทางนั้นค่ะ เขาก็ย้ำตรงนั้นหลายรอบ หอมไม่รู้ว่าจะเป็นเกมการเมืองหรือว่าอะไร ด้วยความที่มันฟันธงไม่ชัดเจน แต่ว่ามันก็ชี้ชวนให้ไปทางนั้น แต่ว่าที่เราทำร่วมกับแบรนด์เขายังไม่ได้ทำการเมืองนะคะ ยังเป็นเพื่อนกันทำงาน วันนี้มันผ่านไป 6 ปี คนเรามันก็เติบโตไปในอาชีพของตัวเอง ก็เป็นทางที่เขาใฝ่ฝัน ทีนี้สิ่งเหล่านั้น 6 ปีที่แล้วพอเอามาพาดพิงเขา มันก็กลายเป็นเขาถูกกล่าวหา ภาพลักษณ์นักการเมืองมันดูไม่ดีในสายตาเราอยู่แล้ว พอมันมีภาพลักษณ์แบบนี้ขึ้นมาอีก มันก็อาจจะทำให้เขาเสียหายได้”

“ยังไม่ได้คุยกับ แต้ว มะตูมค่ะ ก็ไม่รู้ว่าแต่ละคน เขาจะตัดสินใจยังไง หลังจากนี้การรับงานจะยากขึ้นแล้วมันจะไม่แฟร์สำหรับแบรนด์เล็กๆ บางทีเขาอาจจะทำถูกต้อง แต่พอเราไม่รู้จักแบรนด์เขา รับดีมั้ย แล้วดาราก็อาจจะปฏิเสธการร่วมงาน ถ้ามีหน่วยงานภาครัฐออกมาแนะนำดาราก็ดีนะ ดาราไปตรวจสอบเชิงลึกไม่ได้หรอก ขอข้อมูลส่วนตัวของบริษัทเราก็ทำไม่ได้ มันก้าวล่วงไป แล้วสรุปเราทำอะไรได้แค่ไหน ก็อยากให้แฟร์ๆ กับทุกฝ่าย บางคนเขาก็ทำงานจริงๆ จะบอกว่าถ้างั้นก็ไม่รับรีวิวไปเลยสิ มันก็ไม่ได้ เป็นอาชีพ แล้วยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจตกต่ำ งานหายาก ดาราใหม่ๆ ก็เยอะขึ้น ฉะนั้นถ้าจำกัดรับงานแคบไปอีก ดาราก็อยู่ลำบาก ก็อยากให้แฟร์กับทุกฝ่าย”

ขอบคุณภาพประกอบจาก:djtonhorm