จากกรณีการเกิดอุบัติเหตุรถตู้รับส่งนักเรียนชนท้ายรถตัดอ้อย บนถนนสายหนองรี-หนองปรือ ต.หนองรี อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 22 ม.ค. 67 ส่งผลให้มีเด็กนักเรียนได้รับบาดเจ็บรวม 14 ราย แต่ปรากฏว่า ทางเจ้าของรถตัดอ้อย กลับไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบใดๆ จนเวลาล่วงเลยมานานเกือบปี ทำให้ครอบครัวของเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ ต้องรวมตัวกันเดินหน้าเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากหลายหน่วยงาน นั้น

ผู้ปกครองร้องตร.ฟ้องคดีฝ่ายเดียว ซ้ำเจอ ‘ผกก.’ พูดประโยคทำช้ำใจ

ล่าสุดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นายมานิตย์ ชมชื่น หนึ่งในผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ พร้อมด้วยคณะผู้ปกครองของเด็กที่ได้รับบาดเจ็บ เดินทางมายังวัดหนองปรือ เพื่อเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรม ต่อ ผศ.ดร.นพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา ที่เดินทางมาเป็นประธานในการทอดกฐินสามัคคีที่วัดหนองปรือแห่งนี้

โดยนายมานิตย์ กล่าวว่า รู้ดีว่า การเดินทางมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมในงานบุญเช่นนี้ ไม่เหมาะสม แต่ตนเองและกลุ่มผู้ปกครอง เดินหน้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมมาหลายหน่วยงาน แต่ก็ยังไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงตัดสินใจเดินทางเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อ สว.นพดล อินนา ที่เป็นชาว จ.กาญจนบุรี และเป็นชาว อ.หนองปรือ เพื่อหวังว่าจะสามารถช่วยให้พวกตนและบุตรหลาน ได้รับความเป็นธรรมได้ โดยหลังรับหนังสือร้องเรียนแล้ว ผศ.ดร.นพดล อินนา รับปากที่จะดูแลและติดตามเรื่องนี้ให้

หลังยื่นหนังสือเสร็จเรียบร้อย ทางนายมานิตย์ และกลุ่มผู้ปกครองทั้งหมด ได้ช่วยกันยกเอาเตาขนาดใหญ่ มาตั้งที่หน้าพระใหญ่ วัดหนองปรือ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านใน ต.หนองปรือ พร้อมนำเอากระดาษที่ปริ้นท์ภาพถ่ายของรถตัดอ้อยคันที่เกิดเหตุ เมาเผาในเตาไฟพร้อมทำพิธีเผาพริก เผาเกลือ สาปแช่งเจ้าของรถตัดอ้อย ที่ไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบเยียวยา บรรดาเด็กนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บ

นายมานิตย์ กล่าวอีกว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ทางกลุ่มผู้ปกครองเชื่อว่า รถตัดอ้อยมีส่วนผิดที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากเป็นการนำเอารถตัดอ้อยที่มีขนาดใหญ่ มีน้ำหนักมากกว่า 1,600 กิโลกรัม อีกทั้งไม่มีสัญญาณไฟส่องสว่างมาขับบนถนนตั้งแต่ช่วงเช้ามืด แต่ปรากฏว่า ในการทำสำนวนคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กลับดำเนินคดีเพียงคนขับรถตู้โดยสารคันเกิดเหตุ และให้ทางเจ้าของรถตัดอ้อย เสียเพียงค่าปรับ เรื่องการนำรถที่ไม่ได้จดทะเบียนมาขับบนท้องถนน จำนวน 400 บาทเท่านั้น โดยไม่ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่ออาการบาดเจ็บและความเสียหายของเด็กนักเรียนทั้งหมดแต่อย่างใด แม้ทางกลุ่มผู้ปกครองจะพยายามสอบถามถึงชื่อเจ้าของรถตัดอ้อยจากทางตำรวจก็กลับได้รับการปฏิเสธมาโดยตลอด

อีกทั้ง ในช่วงระหว่างที่ศาลจังหวัดกาญจนบุรี มีการเรียกคู่กรณีทั้งหมด มาเจรจาไกล่เกลี่ยนั้น ทางผู้พิพากษาได้มีการขอให้ทางเจ้าของรถตัดอ้อย เดินทางมาร่วมเจรจารับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น ร่วมกับทางฝั่งผู้ปกครอง แต่เมื่อถึงวันนัด ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อเจ้าของรถตัดอ้อย รวมถึงทนายความได้ ทำให้การเจรจาไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล

เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล คนขับรถตู้โดยสารยอมรับสารภาพว่า ขับรถโดยประมาท ทำให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ทางฝั่งเจ้าของรถตัดอ้อย กลับไม่ถูกดำเนินคดีและไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ ซึ่งทางกลุ่มผู้ปกครองมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง โดยหลังจากนี้ ทางกลุ่มผู้ปกครองจะขอใช้สิทธิทางกฎหมาย ยื่นฟ้องร้องทั้งทางคดีอาญาและคดีแพ่ง ต่อเจ้าของรถตัดอ้อย ไม่ว่าผลของการฟ้องร้องในครั้งนี้จะออกมาเป็นอย่างไร ทางกลุ่มผู้ปกครองก็พร้อมยินดียอมรับ เพียงแต่ต้องการให้เจ้าของรถตัดอ้อย ได้เข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น.