เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 17 ต.ค.67  ที่เวทีลานพนมนาคา อ.เมืองนครพนม จ.นครพนม น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล โฆษกกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย เป็นประธานในการเปิดงาน “มหกรรมไหลเรือไฟจังหวัดนครพนม” ประจำปี 2567 โดยมี น.ส. ธนนนท์ นิรามิษ ภริยารองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย นายอรรษิษฐ์  สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย  นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทย คณะทูตานุทูต ผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพี่น้องประชาชนจำนวนมากร่วมกิจกรรม

นายอนุทิน กล่าวว่า มหกรรมไหลเรือไฟ จ.นครพนม เป็นประเพณีที่เก่าแก่และสำคัญของพี่น้องชาว จ.นครพนม และเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งต้องขอชื่นชมคณะกรรมการจัดงาน ศิลปินเรือไฟ และพี่น้องชาวนครพนมที่ได้ร่วมกันอนุรักษ์และสืบสานประเพณีที่มีความเก่าแก่ ศักดิ์สิทธิ์ และสวยงามให้คงอยู่คู่กับชาวนครพนมสืบมา

“การที่เรามีขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายดังกล่าว ย่อมแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวจังหวัดนครพนมเป็นอย่างดี และการจัดงานนี้มีความสำคัญยิ่งในการฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของ จ.นครพนม เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอันจะส่งผลให้เกิดการหมุนเวียนและกระจายรายได้ให้กับประชาชนเป็นอย่างดีตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย” นายอนุทิน กล่าว

นายอนุทิน กล่าวว่า จากการรายงานของรักษาการผู้ว่าราชการ จ.นครพนม ทำให้ได้ทราบว่า การจัดงานปีนี้ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 8 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีนักท่องเที่ยวสนใจเข้าร่วมงานมากถึง 7 แสนคน และในค่ำคืนนี้ จะเป็นคืนของการจัดแสดง “มหกรรมไหลเรือไฟ” ทั้งการไหลเรือไฟโบราณ และการไหลเรือไฟที่ได้พัฒนาความงดงามขึ้นจากฝีมือของศิลปินเรือไฟ โดยเฉพาะพี่น้องชาว จ.นครพนม ที่ได้ประณีตออกแบบเรือไฟที่ประดับไปด้วยดวงไฟหลายหมื่นดวง วิจิตรตระการตาและความหมายอันงดงาม สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือน

ด้านนางรณิดา เหลืองฐิติสกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่า ประเพณีไหลเรือไฟในปีนี้ กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-18 ต.ค.67 ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งจ.นครพนม มุ่งมั่นที่จะสืบสานวัฒนธรรมประเพณีไหลเรือไฟที่งดงาม เพื่อเผยแพร่ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย อันจะเป็นการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว เพิ่มรายได้ให้กับผู้คนในพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น.