หลังจากสัปดาห์ก่อนได้เสนอให้รัฐบาลควรแยกเรื่องค่าเงินบาทออกมา โดยออกกฎหมายกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate targeting) ดูแลโดยรมว.คลัง จะเพิ่ม GDP growth ได้มาก แม้แบงก์ชาติไม่ยอมลดดอกเบี้ย ซึ่งไม่มีเหตุผล นั้น
เมื่อวันที่ 8 ต.ค.67 ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง และผู้เชี่ยวชาญเศรษฐศาสตร์มหภาค กล่าวถึงแนวทางการแก้ปัญหาค่าเงินบาทว่า การตั้งกองทุน กำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange rate targeting) เรากำหนดด้านไม่ให้เงินบาทแข็งเกินไปด้านเดียว โดยตั้งให้บาทอ่อนกว่าตลาด เช่น 1 ดอลลาร์สหรัฐ ($) = 40 บาทหรือมากกว่า กำหนดเป็น Range ตามสูตร
ดังนั้น เราจะไม่ถูกโจมตีค่าเงินบาท เพื่อเอา $ ออกไป เหมือนปี 2540 เพราะตอนนั้นเรากำหนดค่าบาทแข็งเกินจริง เกินราคาตลาดมาก ฝรั่งจึงเอา Future Baht มาแลก $ ออกไป จนทำให้เงินบาทขณะนั้น ลดค่าลงอย่างมากในเวลาอันสั้น เพราะเงินสำรอง $ ของเราถูกแลกออกไปหมด เช่น ลาว ศรีลังกา ทุกวันนี้
อดีตรมว.คลัง กล่าวอีกว่าการโจมตีค่าเงินบาท ฝรั่งทำได้ด้านเดียว คือเมื่อเงินบาทแข็งเกินจริงมาก แล้วถูกโจมตีให้บาทอ่อนลง แต่ฝรั่งจะโจมตีให้บาทแข็งค่าไม่ได้ เพราะฝรั่งต้องเอา $ เยอะๆ มาแลกบาทออกไปจากระบบเศรษฐกิจไทย แต่เราพิมพ์บาทเอง เราพิมพ์ให้เขาได้เสมอ เงินบาทจึงไม่สามาถถูกโจมตีให้แข็งได้ เว้นแต่แบงก์ชาติที่ทำตอนนี้ ที่ไม่เพิ่มปริมาณบาทตาม $ ที่เพิ่มขึ้น ดูแล้วน่าจะโง่เขลาหรือเปล่า?
การกำหนดเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน จึงมีแต่ได้เงิน $ เข้ามา ไม่มี $ ออกไป เพราะเราจะไม่ขาย $ เพื่อให้บาทแข็ง หากมีคนมาโจมตี เราก็ปล่อยให้บาทอ่อนลงไป แบบญี่ปุ่น สินค้านำเข้าอาจแพงขึ้นบ้าง แต่เราจะมีรายได้ส่งออกและท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากทั้งในรูปมูลค่าเงินบาทในปัจจุบัน และในรูปปริมาณส่งออกและท่องเที่ยวในระยะยาว
“วิธีการนี้จะทำให้ GDP growth rate สูง 6-7% ได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว ประเทศจะเจริญเติบโตในอัตราสูง ประชาชนฐานะดีมีงานดีๆ ทำรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หนี้ของรัฐบาลและครัวเรือนลดลง ดังนั้นการทำค่าเงินให้อ่อนกว่าตลาด เราไม่มีความเสี่ยงอะไร” ศ.ดร.สุชาติ กล่าว