ว่า การดำเนินธุรกิจบริษัท TPI โดย T ย่อมาจาก Tecnology ทางกลุ่มเรายืนยันที่จะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด P Product หรือสินค้า ทางกลุ่มเราจะผลิตสินค้าที่ลํ้าสมัยที่ดีที่สุดตลอดเวลา I คือ Inovation หรือนวัตกรรม พวกเราจะนำนวัตกรรมเทคโนโลยีลํ้าที่สุดเพื่อผลิตสินค้าที่ดีที่สุด โดย TPI เกี่ยวเนื่องกันหมด แต่ทุกอย่างเริ่มต้นที่ I หรือ Inovation

ทั้งนี้บริษัทเราพร้อมจะเป็นผู้นำเรื่องอุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม (Waste to Energy) พยายามจะเป็นเน็ต ซีโร่ ไปพร้อมกับเรื่องของ ESG Principle เราพยายามสร้างซีโร่ เวส ในอีโคซิสเตม ของบริษัทของเราและเราจะต้องยั่งยืนไปพร้อมกับสิ่งที่เรียกว่า BCG Economy โดยการเติบโตของบริษัทในปี 2009 เรามี 60% เป็นพลังงานความร้อนทิ้งทั้งหมด ปี 2552 เรามี 440 เมกะวัตต์ โดย 40 เมกะวัตต์เป็นพลังงานความร้อนทิ้ง 180 เมกะวัตต์เป็นพลังงานจากขยะไฮไลต์ของเรา และอีก 220 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานจากถ่านหิน โดยสิ้นปีนี้ 2567 เพิ่มเป็นพลังงาน 477 เมกะวัตต์ โดย 40 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานความร้อนทิ้ง พลังงานขยะโตขึ้นเป็น 250 เมกะวัตต์ และถ่านหินเหลือ 150 เมกะวัตต์ และโซลาร์ 37 เมกะวัตต์

ในที่สุดปี 2569 หลังจากผ่านการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างแล้วจะขึ้นเป็น 540 เมกะวัตต์ โดย 40 เมกะวัตต์เป็นพลังงานความร้อนทิ้ง 420 เมกะวัตต์เป็นพลังขยะ และ 79 เมกะวัตต์เป็นโซลาร์ ส่วนพลังงานถ่านหินจะหายไปทั้งหมด โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม 3 เฟส กำลังการผลิต 62 เมกะวัตต์ โดยจะเสร็จทั้งหมดประมาณกลางปีหน้าเดือน พ.ค. และติดตั้งรูฟท็อป 5.1 เมกะวัตต์ จำหน่ายให้กับโรงกระเบื้อง และการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานถ่านหินทั้งหมดให้เป็นพลังงานจากขยะ เฟส 1-3 เสร็จสิ้นแล้วนับแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว ประมาณ 40 เมกะวัตต์ โดยทั้งหมดจาก 6 เฟส เฟสที่ 4 อีก 20 เมกะวัตต์ กำลังจะเสร็จประมาณเดือน ต.ค. นี้ หลังจากนั้นจะไปถึงเฟสที่ 5 อีก 20% ประมาณ ม.ค. ปีหน้า และเฟสสุดท้าย เฟสที่ 6 อีก 20% ประมาณ เม.ย. ปีหน้า

สรุปได้ว่า ปี 2563 เรามีพลังงาน 440 เมกะวัตต์ เป็นพลังงานถ่านหิน 220 เมกะวัตต์ ประมาณ 50% ปี 2567 นี้มีพลังงานเพิ่มเป็น 477 เมกะวัตต์ 150 เมกะวัตต์ มาจากถ่านหินประมาณ 30% และสิ้นปี 2569 มีพลังงานรวม 540 เมกะวัตต์ และ 0 เมกะวัตต์ โดยไม่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหินอีกต่อไป เราจะเป็น Green Power Plant-Coal Free นับแต่ปี 2569 เป็นต้นไป นั่นก็หมายถึงบริษัทต้องรับขยะให้มากขึ้น โดยปี 2563 ก่อนเริ่มการเปลี่ยนแปลงของเรารับขยะประมาณ 8,500 ตัน/วัน หรือ 2.5 ล้านตัน/ปี ทำให้มีการกำจัดคาร์บอนได้ 5.8 ล้านตัน และในปี 2569 ที่จะใช้ขยะมากขึ้น 17,000 ตัน/วัน ทำให้รับขยะ 5.2 ล้านตัน/ปี ลดปริมาณคาร์บอนได้ 12 ล้านตัน/ปี

“การที่เราจะเปลี่ยนผ่านพลังงานให้สะอาดขึ้น หลายคนอาจมองว่า ต้นทุนจะสูงขึ้นหรือเปล่า โดยถ้าคิดในลักษณะเดิมก็ใช่ แต่ถ้าเราคิดแบบใหม่ มีนวัตกรรมแบบใหม่ขึ้นมา อย่างบริษัทเราสร้างบิสซิเนสโมเดลขึ้นมาผลิตไฟฟ้าจากขยะ ยิ่งถ้าเรากำจัดขยะเยอะ เรายิ่งผลิตไฟฟ้ามากกำไรก็จะยิ่งมากขึ้น เราลดขยะ กำไร ไปในทิศทางเดียวกัน สิ่งแวดล้อมสะอาดขึ้น ไม่ได้เป็นการกระทบกำไร กลับกันทำกำไรสูงขึ้น ทุกอย่างอยู่ที่นวัตกรรม เราสร้างบิสซิเนสโมเดลในรูปแบบใด ดังนั้นการที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้นกับกำไรที่สูงขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน เป็นไปได้ เพียงแต่เราต้องคิดแบบใหม่ คิดนวัตกรรมขึ้นมา และในเรื่องคาร์บอนแท็กที่จะเกิดขึ้นทางธุรกิจ ผู้ประกอบการก็ต้องเตรียมตัวในเรื่องนี้”.