เอริก คิลเบิร์น จูเนียร์ หนุ่มน้อยวัย 16 ปี นักกีฬาอเมริกันฟุตบอลจากโรงเรียนมัธยมศึกษากูดริชในรัฐมิชิแกน เพิ่งกลายเป็นเจ้าของสถิติโลก จากการที่เขามีมือและเท้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตามคำรับรองของ “กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด” ในเดือนกันยายนนี้เอง
คิลเบิร์น จูเนียร์ สูง 6 ฟุต 10 นิ้ว (ราว 208 ซม.) เท้าของเขาวัดขนาดได้ 13 นิ้วครึ่ง เขาสวมรองเท้าเบอร์ 23 ตามมาตรฐานขนาดรองเท้าอเมริกัน ขณะที่ขนาดรองเท้าที่ผู้ชายอเมริกันส่วนใหญ่สวม จะอยู่ระหว่างเบอร์ 8 1/2-9
ส่วนมือของเขามีขนาด 9.13 นิ้ว ใหญ่กว่าค่าเฉลี่ยขนาดมือ 7.4 นิ้ว ของคนในวัยเดียวกัน
คิลเบิร์น จูเนียร์ ตัวใหญ่กว่าเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ มาตั้งแต่อยู่ชั้นเตรียมอนุบาล พอเขาขึ้นเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เขาหาซื้อรองเท้าตามร้านไม่ได้อีกเลย
หนุ่มน้อยเริ่มรู้ตัวว่าขนาดมือและเท้าของเขากลายเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวัน เขาต้องใช้รองเท้าที่สั่งทำพิเศษ ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า 1,500 ดอลลาร์สหรัฐฐ (ราว 49,350 บาท) ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่สูงมากสำหรับฐานะครอบครัวของเขา
คิลเบิร์น จึงหันไปสวมรองเท้าคร็อกส์แทนเป็นเวลานานถึง 2 ปี ซึ่งรวมถึงในฤดูหนาวที่มีหิมะตกในมิชิแกน ทำให้เท้าของเขามีทั้งรอยด้าน ตุ่มพุพองและเล็บขบซึ่งทำให้เขาเจ็บมาก เท่านั้นยังไม่พอ เขาจำต้องนั่งดูทีมตัวเองแข่งกับทีมอื่นในสนาม เพราะไม่สามารถลงแข่งได้ เนื่องจากข้อเท้าของเขาเจ็บจากการที่ไม่ได้สวมรองเท้าสตั๊ด
แต่โชคของคิลเบิร์นยังดี เมื่อเรื่องราวของเขาได้รับการเผยแพร่ออกไป บริษัทผู้ผลิตรองเท้าหลายแบรนด์ เช่น อันเดอร์ อาร์เมอร์, รีบอค อีกทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจาก ชาคีลล์ โอนีล ซูเปอร์สตาร์ของวงการบาสเกตบอล ที่มอบรองเท้าหลายคู่ให้เขา
เมื่อได้นับความช่วยเหลือจากคนมากมาย แม้กระทั่งจากคนแปลกหน้า ทำให้คิลเบิร์นอยากจะส่งต่อพลังบวกออกไปสู่คนอื่น แม่ของเขาจึงก่อตั้งองค์กรการกุศล “บิ๊กชู เน็ตเวิร์ก” ขึ้นมา มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือคนที่ประสบปัญหาในการหาเสื้อผ้าและรองเท้าที่มีขนาดพอดีกับร่างกายของตัวเอง
แม้ว่าการเป็นเจ้าของสถิติโลกถึง 2 ประเภท ก่อนอายุครบ 18 ปี จะไม่ใช่เป้าหมายชีวิตของเขา แต่คิลเบิร์นก็ยอมรับว่า เขาตื่นเต้นมากที่ได้รับเกียรตินี้ และการที่เรื่องราวของเขาได้เข้าไปอยู่ในหนังสือรวบรวมสถิติที่สุดในโลกของกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ก็เป็นความรู้สึกที่เหนือจริงมาก เพราะเขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นไปได้จริง ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งอย่างมากต่อประสบการณ์ครั้งนี้
ที่มา : nypost.com
เครดิตภาพ : guinnessworldrecords.com
