อันเนื่องมาจากช่วงเปลี่ยนผ่าน จากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน มาเป็น”อุ๊งอิ๊ง”น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เลยทำให้การจัดทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร ต้องล่าช้าไป เพราะตามปกติเดือนก.ย. ต้องดำเนินการเสร็จแล้ว เนื่องจากรมว.กลาโหมก็มีการเปลี่ยนจาก”นายสุทิน คลังแสง“มาเป็น “นายภูมิธรรม เวชยชัย” ซึ่งนั่งควบรองนายกฯด้วย

อีกทั้งยังมีข่าวความไม่ลงตัวในกองทัพเรือ (ทร. ) เมื่อ “บิ๊กดุง” พล.ร.อ.อะดุง พันธ์เอี่ยม ผบ.ทร. ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในปีนี้ เสนอชื่อ”พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์” ที่ปรึกษาพิเศษ ทร.เพื่อนเตรียมทหาร (ตท.)รุ่น 23 ซึ่งถือเป็นการแหวกม่านประเพณี เพราะไม่ได้อยู่ไลน์ 5 เสือทร. อีกทั้งยังเลือกผู้จบจากนายเรือต่างประเทศขึ้นมาทำหน้าที่ผู้นำทร. ขณะที่ “บิ๊กวิน” พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ทร. ถือว่ามีอาวุโสสุงสุด และมีข่าวเรื่อง”สัญญาใจคนละปี กับผบ.ทร.คนปัจจุบัน คงต้อรอดู “นายภูมิธรรม”ในฐานะเป็นรมว.กลาโหม จะมีแนวทางในการหาข้อสรุป ในเรื่องของ”ผบ.ทร.” อย่างไร

ด้าน “นายภูมิธรรม “กล่าวถึงความคืบหน้าความคืบหน้าโผบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับชั้นนายพลว่า ในฐานะรมว.กลาโหมได้ลงนาม เพื่อส่งไปให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) ก่อนจะเสนอนายกฯ เพื่อลงนามและทูลเกล้าฯต่อไป ยืนยันได้ว่า เป็นการตัดสินใจของผู้นำเหล่าทัพและคิดว่าเป็นความเหมาะสมที่ดีที่สุด ทำอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อว่าทุกฝ่ายสบายใจ ทหารมีหน้าที่ทำตามสิ่งที่พิจารณา คำสั่งออกมาอย่างไรก็เดินไปอย่างนั้นเมื่อถามถึงความคืบหน้าการแต่งตั้งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)และผบ.ตร. นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ระบบอยู่แล้ว ก็ให้ระบบนั้นพัฒนาไป  ในฐานะที่เป็นผู้บริหารหากเกิดปัญหาก็จะต้องเข้าไปดูแล  แต่ก็ต้องให้เกียรติเหล่าทัพ รวมถึงปลัดกระทรวงต่างๆ เพราะเขาอยู่มาก่อน ขณะที่เราก็ไปดูในเรื่องของความเหมาะสม ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นไปตามกฎเกณฑ์กติกาหรือไม่  เมื่อถามย้ำว่ามีตั๋วจากฝ่ายการเมืองหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ว่ากันไป ตนเพิ่งเข้ามาจะไปเจอตั๋วที่ไหนไม่มี

จับคำให้สัมภาษณ์ของ “นายภูมิธรรม” นั่นหมายความว่า ทำตามข้อเสนอของผบ.เหล่าทัพ ไม่มีตั๋วจากฝ่ายการเมือง ซึ่งในส่วนของทบ.นั้นมีข่าว”พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์” ผบ.ทบ. ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในปีนี้ เสนอชื่อ ‘บิ๊กปู’ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ (ตท.26) เสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ.) ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. คงต้องรอดูว่า จะเป็นไปตามที่มีการเสนอหรือไม่ โดยฝ่ายการเมืองจะไม่เข้ามาล้วงลูก

ส่วนอีกประเด็นร้อน ที่ต้องจับตาคือ การประชุมคณะกรรมการไตรภาคีขึ้นค่าจ้าง 400 บาท ทั่วประเทศ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 20 ก.ย. หลังการประชุมเมื่อวันที่ 16 ก.ย. ต้องล่มไป หลังฝ่ายนายจ้างไม่เข้าร่วมประชุม โดย “นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงาน กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีขึ้นค่าจ้าง 400 บาท ทั่วประเทศ ครั้งที่ 2 ในวันที่ 20 ก.ย.นี้ ในส่วนฝ่ายนายจ้าง ทั้ง 5 เสียง จาก 15 เสียง จะเข้าร่วมประชุมด้วยหรือไม่ว่า ได้ทำจดหมายเชิญแล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะให้คณะกรรมการฝ่ายนายจ้าง เข้ามาหารือกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด รวมถึงพูดคุยกับกระทรวงการคลัง เพื่อหาแนวทางในการเยียวยาแก่บริษัทที่ได้รับผลกระทบ เมื่อถามย้ำว่า หากวันที่ 20 ก.ย.นี้ 5 เสียงฝ่ายนายจ้าง ไม่เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการไตรภาคีที่เหลือจะเดินหน้าพิจารณาเดินหน้าประกาศขึ้นค่าแรง 400 บาท ให้ทันวันที่ 1 ต.ค.นี้ใช่หรือไม่ นายพิพัฒน์ กล่าวว่า หากนายจ้างไม่เข้าร่วมการประชุมครั้งที่ 2 เราก็จะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และดำเนินการประชุม โดยจะอ้างอิงเสียงการโหวต 2 ใน 3 ซึ่งหากฝ่ายลูกจ้างและฝ่ายข้าราชการ เข้าครบก็สามารถทำการโหวตได้

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าในวันที่ 1 ต.ค. จะได้ค่าแรง 400 บาท นายพิพัฒน์ ระบุว่า “ยืนยันครับ ชัดเจนครับ เพราะเมื่อประกาศไปแล้ว ก็พยายามทำให้สำเร็จ และยอมรับว่ากระทบต่อนายจ้างพอสมควร ขณะนี้มีมาตรการเยียวยาแล้ว โดยจะประกาศพร้อมกันในวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งมาตรการเยียวยา ที่ปรับตามประกาศ พ.ศ.2555 เพื่อมาใช้ในปัจจุบัน เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่หากประกาศขึ้นค่าแรง 400 บาทในวันที่ 1 ต.ค.นี้ อาจจะถูกนายจ้าง และผู้ประกอบการร้องเรียนฟ้องร้องภายหลัง รมว.แรงงาน กล่าวว่า ไม่เป็นไหร่ ยินดีรับสิ่งที่พวกเรากระทำ และถือว่าทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ ซึ่งหากจะมีการฟ้องร้องหรือไปร้องเรียนศาลปกครอง เราก็พร้อมน้อมรับ ยืนยันว่าไม่หนักใจในเรื่องนี้

นั่นหมายความว่า กระทรวงแรงงานคงเดินหน้าเต็มสูบ ในการผลักดันการปรับขึ้นค่าแรง 400 บาท ในวันที่ 1 ต.ค. แม้ฝ่ายนายจ้างจะไม่เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการไตรภาคี พร้อมรับผลกระทบ หากต้องถูกฟ้องร้องผ่านกระบวนการยุติธรรม เพราะมีเป้าหมายต้องการผลักดันชีวิตผู้ใช้แรงงานให้ดีขึ้น คงต้องรอดูท่าที่ของบรรดานายจ้างและผู้ประกอบการ จะยอมรับกับผลที่เกิดขึ้นหรือไม่

ยังไล่บี้ตรวจสอบ” บิ๊กป้อม” พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพปชร. อย่างต่อเนื่อง หลังนำเรื่องไปยื่นเรื่องสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง. ) เพื่อให้ตรวจสอบปมคลิปเสียงคล้าย”ลุงคนดัง”หลุด ว่าเกี่ยวข้องเรื่องการได้มาด้วยเงินไม่ถูกกฎหมาย หรือการเข้าไปแทรกแซงการแต่งตั้งโยกย้าย ในกระทรวง มหาดไทยหรือไม่

ล่าสุด”นายพร้อมพงษ์ นพฤทธิ์” อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) เดินทางไปยื่นหนังสือถึงนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่ สส. ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพปชร. ว่าได้ทำหน้าที่ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ(รธน.) และข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของ สส.หรือไม่ อ้างมีประชาชนร้องเรียน ในฐานะคนที่เสียภาษีและได้ติดตามการทำงานของ พล.อ.ประวิตร ในฐานะบัญชีรายชื่อ ซึ่งประชาชนมองว่าที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร ไม่ได้มาโหวตกฎหมายที่สำคัญหลายฉบับ โดยเฉพาะไม่ได้มาโหวตเลือกนายกฯถึง 2 ครั้ง ประชาชนจึงยื่นคำร้องมาที่ตนว่า กรณีที่มีมติสำคัญประมาณ 16 มติ ซึ่ง พล.อ.ประวิตรไม่ได้มาลงมติถึง 13 ครั้ง หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์คือ 81.25 เปอร์เซ็นต์

เนื่องจากมีประมวลจริยธรรมของสภาฯ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสส.และกรรมาธิการ (กมธ.) พ.ศ. 2563 ข้อที่ 14 ว่าสส.และกมธ.ต้องอุทิศเวลาให้แก่การประชุม โดยคำนึงถึงการตรงต่อเวลา และต้องไม่ขาดการประชุมโดยไม่จำเป็น เว้นแต่ในกรณีเจ็บป่วย หรือเหตุสุดวิสัยซึ่งนอกจากนี้ตามบทบัญญัติรธน.ยังกำหนดให้ สส.ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และจะขาดการประชุมได้ไม่เกิน 1 ใน 4 ของจำนวนวันประชุมมิฉะนั้น จะถือว่าสิ้นสุดความเป็นสส.  

ถือว่าเป็นการตรวจสอบในประเด็นที่อ่อนไหว เพราะที่ผ่านมา สังคมไม่ได้เห็น”พล.อ.ประวิตร” ปรากฏตัวในห้องประชุมสภาฯ รวมถึงการโหวตเสียงเลือกนายกฯมา 2 ครั้ง จนกลายเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้พรรคพท. ปรับ “พปชร.”ในซีก “บิ๊กป้อม” ถูกปรับพ้นออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เรื่องนี้เลยกลายเป็นจุดอ่อนของ”หัวหน้าพรรคพปชร. “ จะเห็นการเดินหน้าตรวจสอบของ มีการวางแผนไว้เป็นขั้นเป็นตอน ไล่ตั้งแต่เรื่องคลิปหลุด จนมาถึงการทำหน้าที่สส. ขณะที่มือกฎหมายคนบ้านป่า “นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” นักร้องคนดังกล่าว ยังยื่นเรื่อง”น.ส. แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาถึงวันนี้เกินกว่า 10 เรื่องขึ้นไปแล้ว

ด้าน” นายไพบูลย์ นิติตะวัน” เลขาธิการพรรคพปชร. ระบุว่า พล.อ.ประวิตรมอบหมายให้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีอาญานายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ และ นายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ในข้อหาหรือฐานความผิดตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ฉบับที่ 21 เรื่อง ห้ามการดักฟังทางโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารใด ข้อ.2 ผู้ใดรับรู้ข้อความที่ได้มาจากการกระทำความผิด ใช้ประโยชน์หรือเปิดเผยข้อความนั้น ต่อผู้อื่นโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

นายไพบูลย์ กล่าวว่า  จากกรณีนำคลิปเสียงสนทนาของพล.อ.ประวิตร กับนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ที่ได้มาจากการลักลอบดักฟังโดยโทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นใด เผยแพร่ผ่านรายการ เจาะลึกทั่วไทย อินไซค์ไทยแลนด์” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) และต่อมา “นายพร้อมพงศ์”ได้นำคลิปลักลอบดักฟังเสียงสนทนาของ”พล.อ.ประวิตร” กับ”นายสุทธิพงษ์ “นำมาใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผยคลิปลักลอบดักฟังเสียงสนทนาดังกล่าว ต่อสื่อมวลชนและยื่นต่อสำนักงานป.ป.ช. 

นายไพบูลย์ กล่าวว่า การกระทำของนายพร้อมพงศ์ และ นายดนัย ในการใช้ประโยชน์หรือเปิดเผยคลิปเสียงสนทนาดังกล่าวที่ได้มาจากการลักลอบดักฟัง เป็นการฝ่าฝืนประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ ห้ามการดักฟังทางโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารใด ทำให้พล.อ.ประวิตรได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียง จึงมอบหมายให้ตนดำเนินคดีอาญากับ” นายพร้อมพงศ์” และ” นายดนัย” ในฐานความผิดดังกล่าวจนถึงที่สุด โดยจะไปแจ้งความดำเนินคดี ในวันที่ 20 ก.ย.นี้ ที่สน.หัวหมาก

ด้าน”นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช “ รองโฆษกพรรคพปชร. ออกมาตอบโต้นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคพท. ร้องต่อประธานสภาฯ ขอให้ตรวจสอบการทำหน้าที่สส. ของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพปชร.ว่า นายพร้อมพงศ์ คงลืมไปว่าที่นี่คือสภาฯ เป็นที่ออกกฎหมาย ไม่ใช่ที่เล่นลิเก นายพร้อมพงศ์ ควรตรวจสอบสส.ของพรรคพท.ก่อนว่าคนไหน ว่าคนไหนขาดประชุม ลาประชุม ไม่ใช่ตรวจสอบข้ามพรรคแบบนี้ เชื่อว่า พล.ประวิตร ปฏิบัติตามข้อบังคับ อย่างถูกต้องไม่มีอะไรที่ไม่เหมือนเพื่อนสมาชิก  พล.อ.ประวิตรก็เป็นสส. เหมือนคน 500 คน ใช้สิทธิตามข้อบังคับทุกประการ เมื่อถามถึง กรณีที่นายพร้อมพงศ์ แสดงความห่วงใย อาจจะโดนมิตรใกล้ตัวแอบถ่ายคลิปเสียง พล.อ.ประวิตรไว้

นายสามารถ กล่าวว่า วันนี้มีการแจ้งความดำเนินคดีเกี่ยวกับคลิปไปแล้ว เชื่อว่ามิตรอะไรที่บอกคงออกไปหมดแล้ว แล้วไปอยู่ที่ไหน นายพร้อมพงศ์ควรระมัดระวังตัวเองมากกว่า

“ถ้าตรวจสอบต้องตรวจสอบทุกคน ไม่ควรเลือกปฏิบัติ นายพร้อมพงศ์ แสดงให้เห็นว่าพยายามเป็นนักตรวจสอบ ก็ต้องตรวจสอบคนอื่นด้วย เห็นไป ป.ป.ช. ก็ไม่ตรวจสอบนายทักษิณ ชินวัตร เรื่องคลิปชั้น14 แล้วที่สภาฯมีรธน.มาตรา170 ประกอบมาตรา82 ให้ สส.เข้าชื่อตรวจสอบคุณสมบัตินายกฯได้ใช้สส.1ใน10 พรรคพท.มีสส. 140 คน ทำไมไม่เข้าชื่อตรวจสอบน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ที่ประชาชนเคลือบแคลงสงสัยว่า ถือครองที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ น่าจะขาดจริยธรรม เพราะประชาชนได้ประโยชน์ มากกว่าการมาตรวจสอบการมาประชุมสภาฯของพล.อ.ประวิตร แบบนี้เรียกว่าเลือกปฏิบัติ หลับตาตรวจสอบคนอื่น แต่พรรคตัวเองไม่ตรวจสอบหรือไม่ ทำไมนายพร้อมพงศ์ไม่ให้เพื่อน สส.เข้าชื่อ ถ้ากลัวเข้าชื่อไม่พอ พรรคพปชร.20คน มั่นใจว่าลงชื่อสนับสนุนด้วย” นายสามารถ กล่าว

งานนี้ต้องถือเป็นสงครามตัวแทน ต้องรอดูว่า ในที่สุดบทสรุปของการใช้รธน.และข้อกฎหมาย ใช้ตรวจสอบแต่ละฝ่าย จะจบลงอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้คงไม่จบง่ายๆ ในเมื่อผู้กุมอำนาจรัฐบาลมีเป้าหมายต้องการปิด”บ้านป่ารอยต่อ” ส่วน”บิ๊กป้อม”ก็ต้องการพิสูจน์บารมี และ นำพรรคพปชร.ให้เดินหน้าต่อไป งานนี้แต่ละฝ่ายคงไม่หยุดเปิดแผลฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้บอบช้ำมากที่สุด

“ทีมข่าวการเมือง”