เมื่อวันที่ 17 ก.ย. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภายใต้การอำนวยการของนายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป ช. นายสุชาติ กลวยกิตานนท์ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภาค 8 ได้มอบหมายให้งานสืบสวนคดีทุจริตสำนักงาน ป.ป.ช. ภาค 8 จับกุมนายธวัชชัย ทับทิมทอง บุคคลตามหมายจับของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ที่ 8/2562 ลงวันที่ 26 ธ.ค. 2562 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ และใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 มาตรา 157

โดยนายธวัชชัย บุคคลตามหมายจับฯ ขณะกระทำความผิดดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานที่ดินชำนาญงาน อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ มีหน้าที่และอำนาจสอบสวนสิทธิ ตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 มีอำนาจหน้าที่สอบสวนสิทธิของเจ้าของที่ดินการรับรองแนวเขตที่ดินข้างเคียง สอบสวนประวัติที่ดิน การได้มาซึ่งการครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ตรวจสอบหลักฐานที่ดินเดิมสอบทานระวางกับใบไต่สวนร่วมกับเจ้าหน้าที่เดินสำรวจรังวัดทำแผนที่ เขียนใบนำทำการสำรวจ ตามระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน และการสอบเขตที่ดิน พ.ศ. 2543 โดยปรากฎว่านายธวัชชัยฯ ทราบข้อเท็จจริงดีอยู่แล้ว จากการปฏิบัติหน้าที่ของตนว่ามีโฉนดที่ดินจำนวน 33 แปลง อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร

ซึ่งต้องห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน ตามมาตรา 58 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินและไม่มีการทำประโยชน์ในลักษณะที่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ ซึ่งต้องห้ามตามข้อ 14 แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 แต่กลับจดแจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นเท็จว่าที่ดินอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะออกโฉนดที่ดินได้ และไม่จดแจ้งข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุต้องห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน และรายงานข้อเท็จจริงนำเสนอผู้บังคับบัญชา จนมีการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 33 แปลง การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินของรัฐ และเป็นเจตนาเพื่อให้ผู้อื่นได้ไปซึ่งที่ดินของรัฐโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

จากการสืบสวนทราบว่า นายธวัชชัยฯ อาศัยอยู่ในพื้นที่ตำบลสามตำบล อำเภอจุฬาภรณ์ จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้ติดตามและดำเนินการจับกุมตามขั้นตอนของกฎหมาย แล้วนำตัวส่งไปยังพนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตภาค 8 เพื่อฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 8 ต่อไป.