วันที่ 15 ก.ย.นี้ เป็นวันเลือกตั้งซ่อมครั้งสำคัญ คือเลือกตั้งซ่อม สส.พิษณุโลก เขต 1 แทนนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล และถูกยุบพรรคไป “โฟลค์-ณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์” จากพรรคประชาชน ( ปชน.) ซึ่งทำงานใกล้ชิด “หมออ๋อง ปดิพัทธ์” แข่งกับ“บู้ – จเด็ศ จันทรา” จากพรรคเพื่อไทย ต่างฝ่ายต่างคาดหวังเก้าอี้ เพราะพิษณุโลกเขต 1 เป็นพื้นที่ฝ่ายค้านมาตั้งแต่พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยต้องการเจาะพื้นที่ให้ได้ ส่วนพรรค ปชน. มองว่าคือหมุดหมายแรกของการส่ง สส.ในนามพรรค ก็ต้องการรักษาเก้าอี้ไว้

วันที่ 14 ก.ย.ก่อนเลือกตั้ง นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจเยี่ยมและสังเกตการณ์การส่งมอบและตรวจรับวัสดุอุปกรณ์การเลือกตั้ง จำนวน 49 หน่วย ณ ศูนย์ประสานแผนพัฒนาท้องถิ่นประจำอำเภอเมืองพิษณุโลก และกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานปัญหาข้อร้องเรียนในการทุจริตการเลือกตั้ง การนับคะแนนคาดหลังปิดหีบว่าน่าจะใช้เวลาไม่นาน หากนับตามกระบวนการตั้งแต่เวลา 17:00 น. ที่ปิดหีบ  คาดว่าช่วงเวลาประมาณ 20:00 น. ถึง 21:00 น. ก็จะสามารถประกาศผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการทั้งหมดได้

ดิจิทัลวอลเลตก็ยังคงชุลมุน ซึ่งเดิมกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนได้ลงทะเบียนหลังกลุ่มมีสมาร์ทโฟน วันที่ 16 ก.ย.นี้ ก็ต้องเลื่อนเสียแล้ว เพราะรัฐบาลต้องการแจกกลุ่มเปราะบางที่ลงทะเบียนแล้วให้เสร็จก่อน นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า เราให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางก่อน  งบปี 2567 จะปรับมาดูแลกลุ่มเปราะบางก่อน ได้แก่ 1.กลุ่มผู้พิการ 2.1 ล้านคน ซึ่งผูกบัญชีกับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ( พม.) แล้ว ซึ่งเมื่อเราเริ่มดำเนินการจ่ายเงินเงินสดทั้งหมดจะถูกโอนเข้าบัญชี 2.กลุ่มเปราะบาง หรือผู้ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน โดยจะนำข้อมูลทั้งสองกลุ่มนี้มา พิจารณาร่วมกันโดยไม่ให้มีชื่อซ้ำกัน จะได้ 14.5 ล้านคน

ในส่วนของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านคน มี 1 ล้านคนเศษ ที่จำเป็นจะต้องผูกกับบัญชีพร้อมเพย์ก่อน การจ่ายเงินกลุ่มเปราะบาง จะเริ่มจ่ายเงินในวันที่ 25 ก.ย. ใช้เวลา 4 วัน วันแรกจ่ายเงินกลุ่มผู้พิการ และกลุ่มที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เลขท้ายบัตรประชาชน ลงท้ายด้วยเลข 0 ส่วนในวันถัดไป 26 ก.ย. จะเป็นกลุ่มที่ลงท้ายเลขบัตรประชาชนด้วยเลข 1 – 3 ส่วนวันที่ 27 ก.ย. จะเป็นกลุ่มที่ลงท้ายเลขบัตรประชาชนด้วยเลข 4 – 7 และในวันจ่ายสุดท้ายวันจันทร์ ที่ 30 ก.ย. เป็นกลุ่มที่ลงท้ายเลขบัตรประชาชนด้วยเลข 8-9 

“ส่วนในโครงการถัดไป ( กลุ่มลงทะเบียนปกติ ) ต้องดูกันว่า หากเราไม่เปลี่ยนก็จะเป็นเงินก้อนเดียว การดูจังหวะให้เหมาะสม เพื่อให้เกิดระลอกคลื่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะปิดการลงทะเบียน ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ในกลุ่มที่มีสมาร์ทโฟน ซึ่งยอดปัจจุบันอยู่ที่ 32 ล้านคนเศษ แต่ยังจะไม่ลงทะเบียนในกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟนต่อทันที 16 ก.ย.นี้ ขอประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนว่า อยากให้การจ่ายเงินในกลุ่มแรกจบก่อน ส่วนจะเปิดลงทะเบียนเมื่อไรจะชี้แจงอีกครั้ง ซึ่งจะเลื่อนไปไม่น่านาน คาดว่าจะมีผู้ลงทะเบียนไม่มากเท่าไร”รมช.คลังกล่าว

รมช.หนิม กล่าวว่า ตัวเลขทางเศรษฐศาสตร์ชี้ว่า การบริโภคขั้นสุดท้าย ของกลุ่มเปราะบางมีแนวโน้มใช้เงินจนบาทสุดท้ายค่อนข้างสูง แทนที่จะเป็นการออม ทำให้เงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจค่อนข้างดี แม้ว่าจะเป็นเงินสดก็ตาม ส่วนอีก 32 ล้านคนที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชั่น เริ่มจ่ายได้ในปีหน้า แต่ไม่สามารถกำหนดกรอบระยะเวลาได้ ว่าจะจ่ายในไตรมาสใด รัฐบาลเคยโดนท้วงติง ว่าการจ่ายเงินก้อนใหญ่ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจครั้งเดียว จะเกิดขึ้นลูกใหญ่แต่ไม่ส่งผลกระทบในระยะยาว จึงต้องหากลไกอื่นเข้ามาเสริม โดยการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นระลอก เว้นช่วงเวลาให้มีความเหมาะสม ในการเติมเงินแต่ละก้อน เพื่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง

โครงการนี้คงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบวันจ่าย เมื่อ รมช.หนิมแบะท่าแล้วว่า “อาจเว้นช่วงเวลาให้เหมาะสมในการเติมเงินแต่ละก้อน เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง” ซึ่งปัญหาและอุปสรรคของโครงการมีมาเรื่อยๆ ก็ลุ้นกันว่า ให้ทำโครงการให้เสร็จและกระตุ้นเศรษฐกิจได้

ในช่วงค่ำของวันที่ 13 ก.ย.ที่มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ( ปชน.)อภิปรายถึงเรื่องปัญหายาเสพติดและเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพลกซ์ ตอนหนึ่งว่าจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการขนส่งยาเสพติดบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ล้วนอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มว้า วันนี้รัฐบาลเพื่อไทยยาบ้าถูกมาก 5 บาทก็ซื้อได้แล้ว นายกฯแถลงว่าจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสกัดกั้นยาเสพติดที่ต้นตอ แต่นายกฯจะใช้การเจรจากับรัฐบาลทหารเมียนมาเพื่อกำจัดขบวนการค้ายาเสพติดได้อย่างไรทุกวันนี้รัฐบาลทหารเมียนมาควบคุมพื้นที่เมียนมาแค่ 45%

ขณะที่ชายแดนตะวันตกของเราก็ยังมีการส่งไฟฟ้าไปยังเมียวดี อำนวยความสะดวกสารพัด และมีแสกมเมอร์ 1 แสนคนอยู่ในพื้นที่ ตัดไฟแต่ยังไม่รื้อถอนเสา การไฟฟ้าฯ ตอบว่าเผื่ออนาคตจ่ายไฟอีก ดังนั้นคอลเซ็นเตอร์และยาเสพติดจริงๆ แล้วเราเป็นผู้สร้างขึ้นมา รัฐบาลเป็นผู้ให้กำเนิดโดยอ้อม

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า นายกฯ คนที่แล้วซึ่งมาจากพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์ยืนยันว่านโยบายสถานบันเทิงครบวงจรจะสามารถแก้ปัญหาบ่อนการพนันผิดกฎหมายได้ เพราะการกำหนดค่าเข้ากาสิโนสำหรับคนไทย 5 พันบาท ไม่น่าจะทำให้รายย่อยหรือคนกลุ่มที่เข้าไปใช้บ่อนผิดกฎหมายอยู่แล้วเข้ามาที่นี่ วิธีนี้แก้บ่อนผิดกฎหมายไม่สำเร็จ

ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ให้คณะรัฐมนตรี ( ครม.) เป็นผู้กำหนดเขตพื้นที่ตั้งสถานบันเทิงครบวงจรส่วนการให้ใบอนุญาตจะเป็นอำนาจของคณะกรรมการนโยบาย ที่มีนายกนั่งหัวโต๊ะ แล้วนายกฯจะมีเวลาพิจารณาละเอียดหรือไม่ เพราะคนข้างนอกนินทากันว่าใบอนุญาตทำสถานบันเทิงครบวงจรมีบริษัทไหนบ้างที่ได้จะทำที่จังหวัดไหน และคุยไปไกลว่านายใหญ่จะได้รับประโยชน์กี่เปอร์เซ็นต์ หวังว่าจะไม่จริง

ในขณะที่การแก้ปัญหาคอลเซนเตอร์ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กว่า“ผมได้ทำหนังสือไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) เพื่อขอรายงานการประชุมคณะกรรมการระบบการชำระเงิน(กรช.) เพื่อติดตามเรื่องการแก้ปัญหาคอลเซนเตอร์ของ ธปท. แต่ ธปท.ไม่เปิดเผยผลการประชุม

ต้องตั้งคำถามกับ “ผู้ว่านก”นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. ว่าในฐานะที่เป็นประธานคณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.) และประธานคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) ที่ต้องทำหน้าที่กำกับดูแล เมื่อไร ธปท. จะออกประกาศมาตรการหน่วงการโอนเงิน ไม่ให้การโอนเงินเป็นเวลาจริงเพื่อลดความสูญเสียของเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อให้เหยื่อสามารถแก้ไขปัญหาทัน โดยการหน่วงขึ้นกับยอดเงินธปท.ไม่ยอมออกมาตรการดังกล่าว เพราะเกรงใจบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจการโอนชำระเงินระหว่างธนาคารหรือไม่

  1. เมื่อไร ธปท. จะกำหนดความรับผิดชอบของ ธ.พาณิชย์ เพื่อปกป้องบัญชีเงินฝากของประชาชน ทั้งๆที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาที่ 6233/2564 คำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 468/2566 (แม้จะเป็นกรณีบัตรเครดิตแต่ก็สามารถนำมาเทียบเคียงได้) เป็นบรรทัดฐานแล้ว และนายเศรษฐพุฒิทราบดีว่า ประเทศที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คือประเทศที่ธนาคารพาณิชย์มีระดับความรับผิดชอบที่ต่ำประชาชนได้รับการชดเชยเยียวยาในระดับที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพราะถ้าธนาคารพาณิชย์ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรก็จะไม่มีแรงจูงใจในการปรับปรุงระบบปกป้องบัญชีของประชาชน”

เรื่องการแก้ไขปัญหาคอลเซนเตอร์ก็น่าสนและต้องติดตามนโยบายตรงนี้จาก ธปท.ด้วย และรัฐบาลว่าอย่างไรกับข้อเสนอนี้ เมื่อต้องการฝ่ายค้านที่ทำงานร่วมก็ควรฟัง

ปิดท้ายกันด้วยประเด็นที่จะต้องถกเถียงกันว่า “เป็นการแทรกแซงสื่อ แทรกแซงทางวิชาการหรือไม่ ?  พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่งคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวว่า ตามที่ได้มีผู้เขียนหนังสือ “ในนามของความมั่นคงภายใน การแทรกซึมสังคมของกองทัพไทย”  ( เขียนโดยนางพวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ) เผยแพร่ และใช้สัมมนาเวทีต่างๆ

กอ.รมน. ได้ทำการตรวจสอบ พบว่าผู้เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวไม่ได้มีคุณวุฒิการศึกษาและไม่ได้มีความเชี่ยวชาญด้านความมั่นคงโดยตรง  ไม่ได้ทำการศึกษาตามระเบียบวิธีวิจัย  แต่กลับใช้วิธีการเลือกนำข้อมูลเฉพาะที่สนับสนุนแนวคิดตนเองที่ตั้งไว้แล้วนำมาเป็นข้อสรุป ไม่ได้รวบรวมจัดเก็บข้อมูลจากหน่วยงาน เช่น กอ.รมน. หรือ กองทัพโดยตรง ไม่ได้ทำการศึกษากฎหมาย ระเบียบ และขั้นตอนการปฏิบัติราชการ จึงเกิดเป็นข้อสรุปย่อยที่เป็นเท็จจำนวนมาก  นำมาสู่ข้อสรุปในภาพรวมถึงการแทรกซึมของกองทัพ โดยมี กอ.รมน. เป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมสังคมไทย

“การที่ผู้เขียนได้มีการนำข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนสูงในลักษณะนี้ไปตีพิมพ์เผยแพร่จำหน่ายเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคล  โดยเฉพาะไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิชาที่สอน และกิจการการศึกษา จึงอาจเป็นการละเมิดข้อบังคับจริยธรรมของมหาวิทยาลัยอย่างร้ายแรง รวมถึงอาจเข้าข่ายความผิดในทางกฎหมายด้วยเช่นกัน การเผยแพร่ อาจทำให้สังคมเข้าใจผิด กระทบภาพลักษณ์ขององค์กรหน่วยงาน   

กอ.รมน.จึงขอความร่วมมือในการระงับการจำหน่ายหนังสือดังกล่าว และจะประสานทางมหาวิทยาลัยต้นสังกัดได้กรุณาพิจารณาในเรื่องของจริยธรรม รวมถึงอาจจำเป็นต้องอาศัยขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมต่อไป”พล.ต.วินธัย กล่าว ซึ่งเรื่องนี้เป็นที่น่าจับตามองมาก เมื่อในไทย ไม่เคยมีหนังสือที่ทหารส่งคำสั่งเตือนในลักษณะนี้มานานแล้ว จะเป็นสัญญาณของการแทรกแซงเสรีภาพทางวิชาการหรือไม่ และจะดำเนินการอย่างไรกันต่อ

“ทีมข่าวการเมือง”