ขณะเดียวกันวันที่ 14 ส.ค.นี้ ก็ต้องรอผลารตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาคดีและอ่านแถลงคำวินิจฉัย คดีนายกฯ เศรษฐา ขาดคุณสมบัติเป็นนายกฯ กรณีการตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ

หลายฝ่ายมองว่า… นายกฯเศรษฐา รอด ก็เดินหน้าบริหารประเทศต่อไปท่ามกลางสารพัดปัจจัยเสี่ยงที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างหนัก  และรอวันรัฐบาลอวดฝีมือให้เห็น

อีกหลายฝ่ายก็มองว่า…นายกฯเศรษฐา ไม่รอด กรณีนี้ในมุมของภาคเศรษฐกิจ อาจมองว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของวิถีการเมือง สุดท้าย!!! ก็เลือก… นายกฯ คนใหม่ มาบริหารประเทศต่อไป ครม.ชุดเดิมก็ยังบริหารประเทศต่อไปได้

แม้!! ในความเป็นจริงหากเกิดการเปลี่ยน…นายกฯคนใหม่ ขึ้นมา หนีไม่พ้นที่ต้องทำให้การบริหารงานสะดุด นั่นก็ทำให้บรรยากาศทางด้านเศรษฐกิจต้องสะดุดตามไปด้วย

เพราะ…มองว่า นโยบายจะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด แม้ครม.ยังไม่เปลี่ยน นโยบายก็ไม่เปลี่ยน แต่เรื่องนี้ก็วัดอะไรไม่ได้ ก็ต้องรอดูผลจากตลาดหุ้นที่อ่อนไหวในทุกสถานการณ์ว่าจะผงกหัวขึ้นหรือแดงทั้งกระดาน

ปัญหาการเมือง!! อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่กระทบเศรษฐกิจไทย แต่ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลง ทั้งเศรษฐกิจสหรัฐ เศรษฐกิจสหภาพยุโรป เศรษฐกิจญี่ปุ่น ที่มีอัตราการขยายตัวไม่เป็นไปดั่งที่คาดหวังกันมากนัก

มีการประมาณการกันว่า สหรัฐ จะมีจีดีพีขยายตัวเพียง 2.7% ขณะที่ยุโรป ประเมินกันว่า จีดีพี จะขยายตัวได้ราว 0.8% หรือแม้แต่ญี่ปุ่น ที่คาดการณ์กันว่าจะขยายตัวได้ 0.8% เช่นกัน

Man at gas station with the car close up

หรือ!!! แม้แต่ไฟสงครามตะวันออกกลาง ที่ยังจ่อปะทุอย่างรุนแรงเพิ่มขึ้นอีก โดยอาจขยายเป็นวงกว้างมากขึ้น ก็จะส่งผลกระทบโลกและไทยในวงกว้าง โดยกระเทือนกับการค้าโลกที่ชะลอตัวลง หรือแม้แต่ราคาน้ำมันที่จะส่งผลแพงขึ้น

ที่สำคัญ…เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นอย่างน้อยอีก 10-20% ก็ย่อมต้องส่งผลกระทบลามไปทั่ว รวมไปถึงการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั่วโลกด้วยเช่นกัน

หากเป็นเช่นนี้ ไทยก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เครื่องยนต์ใหญ่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งภาคการส่งออก ภาคการท่องเที่ยว ย่อมสะดุดหดหาย!!

อะไร? ต่ออะไร? ความพยายามทั้งหลายทั้งปวง ที่ทั้งภาครัฐและเอกชน ดำเนินการกันมาก่อนหน้านี้ ก็จะทัดทานแรงพายุเศรษฐกิจไม่ไหว

ด้วยเหตุนี้… จึงไม่ต้องคาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เกิน 3% ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้น้อย เพราะเวลานี้สังคมไทย ได้แต่…รอคอยเพียงหยดน้ำจากโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เป็นหลัก

Covid-19 global economic crisis

ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ผ่านพ้นโควิดมา เศรษฐกิจไทยยังไม่พื้นตัวเท่าที่ควร เห็นได้จากภาคผลิตที่ทบอบปิดตัวกันอย่างต่อเนื่อง แม้ตัวเลขการปิดกิจการจะไม่เท่ากับการเปิดกิจการ

แต่!! การเปิดกิจการ ส่วนใหญ่ก็เป็นทุนจากต่างชาติที่เข้ามาเปิดตลาดในไทยตามนโยบายส่งเสริมการลงทุน แต่กิจการที่ต้องล้มหายตายจากไปกลับกลายเป็นกิจการรายเล็กรายน้อย ที่เป็นของคนไทยแท้ ๆ

จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม? ที่ต้องปิดกิจการไป แต่สถานการณ์เช่นนี้ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้น บรรดากระแสเรียกร้องจากภาคธุรกิจที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศ จึงมีมาอย่างต่อเนื่อง  ทั้งเรื่องต้นทุนจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาททั่วประเทศ

ทั้งต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากค่าไฟฟ้า ค่าพลังงาน ค่าวัตถุดิบที่แพงขึ้น รวมไปถึงค่าขนส่ง  และที่กำลังลุกลามอยู่ในเวลานี้ คือเรื่องของสินค้าราคาถูกจากจีนที่เข้ามาดัมพ์ตลาดในไทย

Electric car charging at home Clean energy filling technology

เห็นได้ชัดจาก ค่ายรถยนต์ ที่ต้องล่าถอยไปจำนวนไม่น้อย จากรถอีวีของจีนที่เข้ามาหั่นราคาจนเกิดสงครามราคาที่ไม่ใช่เฉพาะไทยเท่านั้น แต่ลามไปทั่วโลก จนถึงขนาดที่รถอีวีดังจากสหรัฐอย่าง “เทสล่า” อาจต้องยุติแผนการผลิตในประเทศอาเซียน รวมถึงไทยไปด้วย

ไม่เพียงเท่านี้… ปัญหาในประเทศอย่างการเป็นหนี้ หนี้ครัวเรือน หนี้เสีย ที่กำลังเพิ่มมากขึ้นจากกำลังซื้อของประชาชนคนไทยที่ยังไม่ผงกหัวขึ้น

สารพัดสารพันพายุเศรษฐกิจ เหล่านี้ กำลังกลายเป็นขวากหนามสำคัญที่ทำให้การทำหน้าที่ของรัฐบาลเดินหน้าได้อย่างยากลำบาก

ต่อให้…การใช้จ่ายงบประมาณ ที่สามารถดำเนินการได้แล้วก็ตาม แต่หากใช้ไม่ถูกที่ไม่ถูกทาง หรือเพียงแค่ฟาดฟันแสวงหาผลประโยชน์ สุดท้าย!! ประชาชนคนไทยก็ต้องแบกรับภาระ แบกรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ อยู่นั่นเอง!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่