สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเบรุต ประเทศเลบานอน เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ว่า นายอับดัลเลาะห์ บู ฮาบิบ รมว.การต่างประเทศเลบานอน กล่าวถึงบรรยากาศตึงเครียดตามแนวชายแดนทางตอนใต้ของประเทศ ที่ติดกับภาคเหนือของอิสราเอล ว่าอิสราเอล “น่าจะยกระดับความรุนแรงแบบจำกัด” และการตอบโต้ของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ “น่าะจะเป็นแบบจำกัดเช่นกัน”


แม้หลายฝ่ายมองว่า ทิศทางดังกล่าวน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากอิสราเอลไม่น่าต้องการทำสงครามสองด้านในเวลาเดียวกัน โดยการสู้รบในฉนวนกาซายืดเยื้อมากพออยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินการตามแนวทางการทูต เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงอีกในทุกรูปแบบ


ด้านประธานาธิบดีมาซูด เปเซชเคียน ผู้นำคนใหม่ของอิหร่าน ประเทศซึ่งเป็นพันธมิตรกับทั้งกลุ่มฮามาสและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ กล่าวว่า หากอิสราเอลปฏิบัติการโจมตีเลบานอนครั้งใหม่จริง “เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงและผลกระทบที่ตามมาจะร้ายแรงอย่างมาก”


ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่อาจกลายเป็นชนวนของความรุนแรงครั้งใหม่ คือการที่ขีปนาวุธโจมตีสนามฟุตบอล ที่เมืองมาจดาล แชมส์ บนที่ราบสูงโกลันส่วนที่อยู่ภายใต้การยึดครองของอิสราเอล ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 18 คน ทั้งหมดเป็นเด็กและวัยรุ่นชาวดรูซ อายุระหว่าง 10-20 ปี เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


กองทัพอิสราเอลกล่าวว่า ขีปนาวุธซึ่งตกที่สนามฟุตบอล เป็นแบบ “ฟาลาค-วัน” (Falaq-1) ซึ่งผลิตในอิหร่าน และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์มักใช้งาน แต่กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ออกแถลงการณ์ ยืนกรานปฏิเสธมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โจมตีดังกล่าว


ขณะที่นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล เดินทางไปยังพื้นที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และยืนยันว่า “จะตอบโต้อย่างหนักหน่วง” ส่วนนายจอห์น เคอร์บีย์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐ เชื่อมั่นว่า ความรุนแรงเป็นวงกว้าง “สามารถหลีกเลี่ยงได้”.

เครดิตภาพ : AFP