สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงการากัส ประเทศเวเนซุเอลา เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ว่า ชาวเวเนซุเอลาจำนวนมาก รวมตัวเดินขบวนไปตามท้องถนน โดยมีจุดหมายคือทำเนียบประธานาธิบดี ในกรุงการากัส เพื่อประท้วงผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี แต่มวลชนเผชิญกับการสกัดกั้นของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีการยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก


ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งเวเนซุเอลา ประกาศผลอย่างเป็นทางการ ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ซึ่งมีการลงคะแนนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร วัย 61 ปี จากพรรคสหสังคมนิยม ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด 51.2% รักษาตำแหน่งผู้นำเวเนซุเอลาเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน หรือนับตั้งแต่ปี 2556 และการชนะเลือกตั้งครั้งนี้ จะทำให้มาดูโรยังคงอยู่ในตำแหน่งต่ออีก 6 ปี หรือจนถึงปี 2573


ขณะที่คู่แข่งเพียงคนเดียว คือ นายเอ็ดมุนโด กอนซาเลซ อูร์รูเตีย อดีตนักการทูตวัย 74 ปี ซึ่งลงสมัครในนามอิสระ แต่ได้รับความสนับสนุนจากฝ่ายค้าน ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา 44.2% อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฝ่ายค้านประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยยืนยันว่า กอนซาเลซ อูร์รูเตีย ได้รับเสียงสนับสนุนประมาณ 73% และจะร้องเรียนตามกระบวนการอย่างถึงที่สุด


ด้านนานาประเทศในกลุ่มลาตินอเมริกาแสดงความวิตกกังวล และเรียกร้องให้มีการนับคะแนนใหม่ “อย่างเปิดเผยทุกคะแนน” สร้างความไม่พอใจอย่างหนักให้กับมาดูโร ซึ่งประกาศเรียกเอกอัครราชทูตเวเนซุเอลากลับจาก อาร์เจนตินา ชิลี คอสตาริกา ปานามา เปรู โดมินิกัน และปารากวัย

ส่วนสหประชาชาติ (ยูเอ็น) สหภาพยุโรป (อียู) และสหรัฐ แสดงความวิตกกังวลต่อผลการเลือกตั้งครั้งนี้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม เม็กซิโก แสดงความยินดีกับมาดูโร จีน รัสเซีย และคิวบา แสดงความยินดีกับมาดูโร


ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของชาวเวเนซุเอลา โดยศูนย์วิจัยอิสระหลายแห่ง ให้ความเห็นไปในทางเดียวกัน ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะนำไปสู่ “การสิ้นสุดยุคชาวิสโม” ที่ยาวนาน 25 ปี หมายถึงอุดมการณ์ประชานิยมของอดีตประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ผู้ล่วงลับ ซึ่งแต่งตั้งมาดูโร “เป็นทายาทการเมือง” และมาดูโรเคยกล่าวก่อนถึงวันเลือกตั้ง ว่าเวเนซุเอลา “จะเผชิญกับเหตุการณ์นองเลือด” หากเขาเป็นฝ่ายแพ้.

เครดิตภาพ : AFP