หลังจากที่ ALL NEW MG3 HYBRID+ ทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการทั้งในประเทศอังกฤษ และในยุโรป รวมไปถึงทวีปอเมริกาอย่างประเทศเม็กซิโกก่อนข้ามมาสร้างปรากฏการณ์อีกซีกโลก ทั้งในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย และฟิลิปปินส์ต่างได้รับเสียงตอบรับจากสื่อและผู้ใช้งานถึงความโดดเด่นในเรื่องการเป็นยนตรกรรมที่มอบประสิทธิภาพในการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความสมดุลระหว่างสมรรถนะและความประหยัด
โดยหนึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่น่าสนใจในกลุ่มบี-เซกเมนต์ คือ ระบบ HYBRID+ ที่เหนือกว่าด้วยสมรรถนะอันทรงพลังและการบริหารพลังงานในแบบฉบับรถไฟฟ้าจากมอเตอร์ขับเคลื่อนให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า 250 นิวตัน-เมตร และมอเตอร์ที่ใช้สร้างกระแสไฟได้สูงสุด 45 กิโลวัตต์ ผสานความแรงของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ให้แรงม้าสูงสุด 102 แรงม้า รองรับน้ำมัน E20 รวมแรงม้าสูงสุด 194 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้า EDU 3 ระดับ ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว
มาพร้อมแบตเตอรี่ Lithium-Ion ความจุ 1.83 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง สู่การเป็นโมเดลไฮบริดใหม่ที่ครบสมบูรณ์แบบด้วยความเหนือชั้นของ 8 โหมดขับเคลื่อน ที่รวมทุกระบบไฮบริดไว้ได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็น ระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรม ระบบขับเคลื่อนแบบผสานเครื่องยนต์และมอเตอร์ หรือแม้แต่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วน โดยสามารถปรับเปลี่ยนการทำงานได้อย่างราบรื่นและเหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงความเร็ว
สำหรับ 8 โหมดขับเคลื่อนของ ALL NEW MG3 HYBRID+ จากจุดหยุดนิ่งไปจนถึงวิ่งแบบเต็มพลังโหมดจอดหยุดนิ่ง ระบบจะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง เพื่อทำให้ระบบปรับอากาศและระบบอื่นๆทำงานได้โดยที่เครื่องยนต์หยุดการทำงาน, โหมดวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วนจนถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ให้ความรู้สึกนุ่มนวลและเงียบเหมือนรถไฟฟ้า, โหมดความเร็วเพิ่มขึ้นเป็น 30–50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระบบจะสลับไปยังโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรมเครื่องยนต์จะทำหน้าที่แค่เพียงปั่นไฟ และส่งกระแสไฟไปให้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนตัวรถทำให้ได้ความรู้สึกนุ่มนวล ตอบสนองฉับไวแบบรถไฟฟ้า และรถมีความคล่องตัวมากขึ้น
หากความเร็วไต่ระดับไปที่ 50–80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมักจะเป็นช่วงสำหรับใช้งานเดินทางออกนอกเมืองด้วยความเร็วปานกลางโหมดระบบขับเคลื่อนแบบอนุกรมจะยังช่วยให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงแรงบิดสูงอย่างต่อเนื่องเพ ราะเครื่องยนต์ยังทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟช่วยให้มอเตอร์ขับเคลื่อนล้อโดยตรงได้แบบรถไฟฟ้า พร้อมส่งกระแสไฟส่วนเกินไปเก็บยังแบตเตอรี่แรงเคลื่อนสูง ไฟส่วนเกินไปเก็บในแบตเตอรี่
โหมดความเร็ววิ่งคงที่ในช่วงความเร็ว 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงซึ่งเป็นช่วงการขับขี่ระยะไกล ระบบจะสลับเป็นการใช้งานเครื่องยนต์ที่รอบความเร็วต่ำโดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องยนต์จะตัดต่อการทำงานผ่าน Hybrid Transmission มี 3 อัตราทดแบบอัตโนมัติ มาขับเคลื่อนที่ตัวล้อโดยตรง ทำให้ประหยัดน้ำมันได้มากกว่ารถแบบ Series Hybrid ทั่วไป ที่เครื่องยนต์ทำหน้าที่เพียงปั่นไฟอย่างเดียวตลอดเวลา, เมื่อรถอยู่ในช่วงเร่งความเร็ว 80 – 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือขึ้นทางลาดชัน เมื่อต้องการเร่งแซง เพียงแค่กดคันเร่งเบาๆทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฮบริดกำลังสูงจะทำงานร่วมกันอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ในทันทีเมื่อต้องการเร่งแซงหรือขึ้นทางชัน, เมื่อใช้ความเร็วสูง 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เครื่องยนต์จะทำงานอย่างต่อเนื่อง โดยขณะที่รถขับเคลื่อนไประบบจะแบ่งกำลังส่วนที่เหลือจากเครื่องยนต์ไปหมุนเจนเนเรเตอร์ เพื่อปั่นไฟไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ และเมื่อผ่อนคันเร่งลดความเร็วลงมาในช่วง 120-0 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือช่วงขับขี่ลงทางชัน ระบบ HYBRID+ จะใช้มอเตอร์เป็นตัวหน่วงกำลังซึ่งจะทำหน้าที่ชาร์จไฟเป็นระบบ Energy Regeneration 3 ระดับ สามารถตั้งค่าระดับการรีเจนได้แบบรถไฟฟ้าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้สูงสุด
และเพื่อพิสูจน์เอ็มจี 3 ใหม่ ซึ่งมี 2 รุ่นย่อย แต่ทางบริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้จัดทริปให้สื่อมวลชนได้ทดสอบเทคโนโลยี HYBRID+ ที่ดีที่สุดของเอ็มจี รุ่นท็อป บนเส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ระยะทางประมาณ 800 กิโลเมตร ใช้น้ำมันเพียงแค่ถังเดียว (ขนาดถังจุ 36 ลิตร) โดยออกสตาร์ตกันที่โรงแรงศิลป์ บูทีค โฮเทล จังหวัดเชียงใหม่ ใช้เส้นทางสายเก่าผ่านจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเส้นทางส่วนใหญ่ลัดเลาะเขาบางช่วงขับสวนเลน ทำให้รับรู้ถึงช่วงล่างที่ยึดเกาะถนนได้ดี อัตราเร่งแซงทำได้น่าพอใจสำหรับรถเล็กเครื่องแค่ 1.5 ลิตร ทำหน้าที่ได้เกินตัว
จากนั้นมาแวะรับประทานอาหารที่ร้านอาหารลานโพธิ์ อุตรดิตถ์ ราว 1 ชั่วโมง ก่อนเปลี่ยนมือขับไปแวะพักที่สโลว์ไลฟ์คาเฟ่ สภาพถนนช่วงนี้ไม่ค่อยดีนักเพราะกำลังก่อสร้าง แม้สภาพถนนไม่ดี แต่การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารใช้ได้ ยังสามารถฟังเพลงได้อย่างสุนทรีย์ ระบบเบรกยังวางใจได้ เช่นเดียวกับเบาะนั่งแบบผสมทั้งหนังและผ้าดีไซน์ออกมาให้รองรับสรีระดี รถเล็กขับไกลยังรู้สึกสนุกไม่เมื่อยหล้า พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นที่ใช้งานง่าย จอใหญ่สัมผัส 10.25 นิ้วไม่บังสายตามองเห็นชัดเจน หน้าจอแสดงผลแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว มีช่วงเสียบยูเอสบี ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยีความปลอดภัยที่เอิ็มจี 3 ใหม่ใส่มาให้เพียงพอกับการใช้งาน ทั้งกล้องมองรอบคัน 360 องศา ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (ACC) ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าอัตโนมัติได้ใช้จริงเพราะระหว่างทางเจอฝนประปราย และจากแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดใหญ่แบบเซล ทู แพ็ก ความจุ 1.83 kwh จุมากที่สุดในคลาสเดียวกัน และโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบคือ อีโค, นอร์มอล และสปอร์ต ส่งกำลังไฮบริด ทรานส์มิสชั่น ขับด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ อี-เอที 3 อัตราทดเกียร์ปรับการทำงานอัตโนมัติ เรียกว่าการทำงานที่ลงตัวมาก
จากนั้นขับต่อผ่านจังหวัดนครสวรรค์ เส้นทางช่วงนี้ดี สามารถทำความเร็วดีมาก แต่ต้องอยู่ในกฎระเบียบ แม้ว่าบางช่วงอาจลืมตัวไปบ้างเพราะอัตราเร่งไหลลื่นจนแทบจะลืมว่าเป็นรถเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร จนกระทั่งขับมาถึงปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ คลองหลวง เพื่อเติมน้ำมันสำหรับเตรียมทริปถัดไป ปรากฎว่าน้ำมันที่มีก่อนเติมเข้าไปใหม่ยังสามารถขับไปต่อได้กว่า 100 กิโลเมตรทีเดียว โดยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันอยู่ที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตร หรือเฉลี่ยทั้งทริปอยู่ที่ 22 กิโลเมตรต่อลิตรนับว่าเป็นรถเล็กที่ให้ทั้งอัตราเร่งดี ขับเร็วสบายๆ แถมประหยัดเงินในกระเป๋าอีกด้วย
นายพงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เอ็มจี 3 HYBRID+ ถือเป็นโกลบอลโมเดลรุ่นล่าสุดของเอ็มจี ที่ได้นำเทคโนโลยีอย่าง ระบบ HYBRID+ สู่การรังสรรค์รถยนต์พลังงานทางเลือกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้งานรถของลูกค้า ทั้งยังเป็นยนตรกรรมที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ เอ็มจี ในการเดินหน้าสู่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว ให้กับตลาดยานยนต์โลก โดยเอ็มจี 3 HYBRID+ ถูกวางให้เป็นหนึ่งในโมเดลยุทธศาสตร์ ประจำปีนี้ในการบุกและปลุกตลาด B-Segment ในเมืองไทย.