สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงการากัส ประเทศเวเนซุเอลา เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งเวเนซุเอลา ประกาศผลอย่างเป็นทางการ ของการเลือกตั้งประธานาธิบดีเวเนซุเอลา ซึ่งมีการลงคะแนนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร จากพรรคสหสังคมนิยม ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล ได้รับการเลือกตั้งเข้ามามากที่สุด 51.2% รักษาตำแหน่งผู้นำเวเนซุเอลาเป็นสมัยที่สามติดต่อกัน หรือนับตั้งแต่ปี 2556
ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญ คือ นายเอ็ดมุนโด กอนซาเลซ อูร์รูเตีย ซึ่งลงสมัครในนามอิสระ แต่ได้รับความสนับสนุนจากฝ่ายค้าน ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา 44.2%
ด้านมาดูโร วัย 61 ปี แถลงที่ทำเนียบประธานาธิบดี ประกาศชัยชนะ และให้คำมั่นจะรักษาเสถียรภาพ สันติภาพ และความยุติธรรม พร้อมทั้งเดินหน้าพัฒนาเวเนซุเอลา ให้เจริญรุดหน้าทุกด้าน แต่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) หดตัวแล้วมากกว่า 80% นับตั้งแต่มาดูโรรับตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม พันธมิตรฝ่ายค้านประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยยืนยันว่า กอนซาเลซ อูร์รูเตีย อดีตนักการทูต วัย 74 ปี ได้รับเสียงสนับสนุนมากถึง 70% และจะร้องเรียนตามกระบวนการ
ขณะที่เปรูเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับจากเวเนซุเอลา “เพื่อปรึกษาหารือ” เกี่ยวกับผลการเลือกตั้ง ด้านหลายประเทศในลาตินอเมริกา “แสดงความสงสัย” กับผลการเลือกตั้งที่ออกมา ส่วนนายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ “วิตกกังวลอย่างมาก” ว่าผลการเลือกตั้งผู้นำเวเนซุเอลาครั้งนี้ “ไม่ได้สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของประชาชน”
ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของชาวเวเนซุเอลา โดยศูนย์วิจัยอิสระหลายแห่ง ให้ความเห็นไปในทางเดียวกัน ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะนำไปสู่ “การสิ้นสุดชาวิสโม” ที่ยาวนาน 25 ปี หมายถึงอุดมการณ์ประชานิยมของอดีตประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ ผู้ล่วงลับ ซึ่งแต่งตั้งมาดูโร “เป็นทายาทการเมือง” และมาดูโรเคยกล่าวก่อนถึงวันเลือกตั้ง ว่าเวเนซุเอลา “จะเผชิญกับเหตุการณ์นองเลือด” หากเขาเป็นฝ่ายแพ้.
เครดิตภาพ : AFP