เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบ กรณีชาวบ้านร้องเรียน ว่าญาติถูกที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติงานป้องกันปราบปราม สภ.เมืองนนทบุรี 2 นาย เข้าจับกุมชายต้องสงสัยค้ายาเสพติด บริเวณซอยเรวดี 46 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี โดยในคลิปจะเห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามกดตัวผู้ต้องหาลงพื้น และมีการต่อสู้ขัดขืน โดยมีจังหวะหนึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งได้ใช้เท้าเตะที่บริเวณหน้าอกของผู้ต้องหา ท่ามกลางชาวบ้านบริเวณดังกล่าว ที่ตะโกนร้องด่าทอถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ดูเกินกว่าเหตุ นอกจากนี้ยังมีคลิปที่เห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจด่าทอโต้เถียงกับประชาชนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และยังมีการนำกระบองออกมาขู่ชาวบ้านในพื้นที่อีกด้วย
ซึ่งคลิปวีดีโอดังกล่าว ทางญาติของผู้ต้องหาได้มาร้องกับสื่อ พร้อมเดินทางมาที่ สภ.เมืองนนทบุรี เพื่อสอบถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าทำไมถึงต้องจับกุมผู้ต้องหา โดยใช้วิธีรุนแรงเกินกว่าเหตุ ใช้เท้าเตะที่บริเวณใบหน้า อยากให้เจ้าหน้าที่ที่จับกุมออกมาชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอโทษทางครอบครัวผู้ต้องหา ส่วนเรื่องคดียาเสพติดทางครอบครัวยอมรับว่าผู้ต้องหาติดยาเสพติดจริง แต่เมื่อดูคลิปวิดีโอที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาแล้วรับไม่ได้กับเหตุการณ์นี้
ล่าสุดทีมข่าวได้ขอดูคลิปวิดีโอจากกล้องที่ติดหน้าอกว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไป ปรากฏว่าคลิปวิดีโอของเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ทีมข่าวดู เป็นภาพที่ชุดสายตรวจลงตรวจพื้นที่ พบเด็กวัยรุ่น 2 คน กำลังรับซองบุหรี่จากชายคนหนึ่ง ซึ่งดูท่าทางมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจค้นตัวชายคนดังกล่าว ปรากฏว่า ชายคนดังกล่าวพยายามขัดขืนไม่ยอมให้ตรวจค้น กระทั่งเจ้าหน้าที่ค้นเจอยาเสพติดอยู่บริเวณเป๋ากางเกง จากนั้นก็เกิดการขัดขืน ผู้ต้องหาพยายามจะโยนยาบ้าทิ้ง แต่ตำรวจพยายามควบคุมตัวและใส่กุญแจมือ แต่ผู้ต้องหาก็ไม่ยอม จึงกดผู้ต้องหาลงกับพื้น แต่ก็ยังดิ้นไปมาไม่ยอมให้ใส่กุญแจมือ และปายาเสพติดออกจากตัว จนมีช่วงจังหวะหนึ่ง ที่เจ้าหน้าที่ใช้เท้าเตะเข้าที่บริเวณลำตัวของผู้ต้องหา จากนั้นผู้ต้องหาจึงบอกว่ายอมแล้ว จึงสามารถใส่กุญแจมือได้ แต่ระหว่างนั้นผู้ต้องหาได้โยนยาเสพติดทิ้ง ซึ่งตกอยู่โดยรอบกว่า 20 เม็ด
ทีมข่าวมีโอกาสพูดคุยเปิดใจกับ ส.ต.ต. (สงวนชื่อสกุล) ผบ.หมู่ป้องกันปราบปราม สภ.นนทบุรี หนึ่งในคนที่อยู่ภายในคลิปวิดีโอที่ปรากฏ โดยเปิดใจกับทีมข่าวว่า มีการใช้กำลังในการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยยาเสพติดจริง โดยตนได้พยายามทับร่าง และใส่กุญแจมือ แต่ผู้ต้องสงสัยดิ้นไปมาไม่ยินยอม พยายามปายาเสพติดทิ้งและตะโกนบอกกับชาวบ้านว่าตำรวจยัดยา คู่หูสายตรวจที่มากับตน จึงต้องใช้ยุทธวิธีขั้นสูงสุดในการจับกุมผู้ต้องสงสัยโดยการใช้เท้าเตะที่ลำตัว เพื่อให้ผู้ต้องสงสัยจุกไม่มีแรงดิ้นยอมให้ใส่กุญแจมือ ยืนยันว่าการใช้เท้าเตะที่ลำตัวเป็นอีกวิธีที่พยายามหยุดการต่อสู้ โดยไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายผู้ต้องหา และแน่นอนว่าไม่ได้เตะที่ใบหน้า เพราะที่ใบหน้าเป็นจุดที่บอบบาง เสี่ยงถูกดวงตา ซึ่งจากภาพมุมสูงที่มีคนถ่ายไว้ กับคลิปวิดีโอของตนอาจมีมุมมองไม่เหมือนกัน
ส.ต.ต. กล่าวอีกว่า ส่วนที่มีการปะทะคารมกับชาวบ้านในพื้นที่ ต้องบอกว่าสถานการณ์ตอนนั้นมีชาวบ้านมามุงดูรอบพื้นที่จำนวนมาก และมีชาวบ้านรายหนึ่ง พยายามจะขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าจุดเกิดเหตุซึ่งมียาบ้าตกอยู่เต็มพื้นถนนบริเวณนั้น ทำให้มีการปะทะคารมกันเพราะตนต้องเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุก่อน สุดท้ายอยากจะบอกว่า หากคลิปวิดีโอดังกล่าวกลายเป็นกระแสดราม่า หรือทำให้ทางญาติของผู้ต้องหาไม่ชอบใจ ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ ที่ทุกคนสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่สำหรับตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถจับคนร้ายได้ ผลที่ตามมาเจ้าหน้าที่อาจเป็นผู้สูญเสียเอง และยืนยันว่าสิ่งที่ปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติตามยุทธวิธีทุกประการ
ทีมข่าวยังมีโอกาสพูดคุยเปิดใจกับนายสมศักดิ์ (สงวนนามสกุล) อายุ 49 ปี ผู้ต้องหารายดังกล่าว เบื้องต้นบอกกับทีมข่าวว่า ก็ยอมรับว่ามียาเสพติด 20 เม็ด ซื้อมา 400 บาท ยืนยันว่าไม่ได้ขาย เพียงแต่ซื้อมาเสพเองเท่านั้น และยอมรับว่าขัดขืนไม่ยอมให้จับ เพราะเป็นวิถีของคนที่มีสิ่งผิดกฎหมายติดตัวอยู่แล้ว ก็ต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ทำเกินกว่าเหตุ กดตัวตนลงพื้นจนหายใจไม่ออก ส่วนเรื่องเตะที่บริเวณใบหน้าตามที่ญาติบอกนั้น ตนจำไม่ได้ว่าถูกเตะที่ใบหน้าหรือไม่ เพราะมันชุลมุน แต่คาดว่าน่าจะไม่ใช่ เพราะไม่ได้เจ็บที่ใบหน้าเลย และยอมรับว่าตะโกนว่า ตำรวจยัดยา และที่ตะโกนก็เป็นวิถีการเอาตัวรอดของคนที่กระทำผิดอีกนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ทางคดีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง ต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่ และพบสารเสพติดในร่างกาย ซึ่งมีโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่งดำเนินคดีต่อไป