เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 28 ก.ค. ที่ กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 พล.ต.ท.กฤธราพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 พร้อมชุดปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 5 ได้ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายหลิน ชุน หง สัญชาติไต้หวัน และ นายโสภณ (สงวนนามสกุล) อายุ 28 ปี ชาว ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย พร้อมของกลาง เครื่องกระจายสัญญาณโทรศัพท์ หรือ Simbox จำนวน 6 ชุด พร้อมกับชุดกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ต 6 ชุด
การจับกุมครั้งนี้ ได้มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรฯ เข้าเบอร์มือถือของ พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 โดยหลอกลวงต่างๆ นานาหลายครั้ง ทาง ผบก.สส.ภ.5 จึงใช้เครื่องมือพิเศษตรวจสอบ พบว่ามีแหล่งส่งสัญญาณมาจากในพื้นที่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย จึงได้ทำการสืบสวน เชื่อว่ามีการซุกซ่อนเครื่องมือ อุปกรณ์ โดยทำการบุกค้น 5 จุด ดังนี้ จุดบ้านเช้า ตึก G ในโครงการ หมู่บ้านหรู ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จุดบ้านเช่า เลขที่ 108 หมู่ 15 ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย จุดหอพักหญิง ห้อง 106 ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย หอพักแถวหนองบัว 391 หมู่ 8 ต.บ้านดู่ อ.เมืองเชียงราย บ้านเช่าเพชรมโนหาญ ห้องที่ 6 เลขที่ 79 หมู่ 1 ต.นางแล อ.เมืองเชียงราย และจุดบ้านเช่าในพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
โดยทุกจุดพบกล้อง ip camera ยี่ห้อ tp-link model: tapo C200 แห่งละ 1 เครื่อง เครื่องกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ต ยี่ห้อ tp-link model:Archer MR600 แห่งละ 1 เครื่อง และจากการตรวจสอบทุกจุดไม่พบตัวผู้ต้องหาแต่ทราบว่าทุกจุดมีนายโสภณ และ นายหลิน ชุน หง เป็นคนเช่า จึงติดตามทั้งสองคน ทราบว่าหนีไปที่ จ.ตาก กำลังจะเข้าพื้นที่ภาคกลาง ก่อนจับกุมตัวไว้ได้
จากการสอบสวนทราบว่า นายหลิน ชุน หง ได้นำอุปกรณ์ต่างๆ มาติดตั้ง เพื่อกระจายสัญญาณโทรศัพท์ โดยเป็นการสุ่มหมายเลขออกไปเพื่อให้ปลายทางที่รับสายไม่สามารถระบุได้ว่าปลายทางของสายเป็นใคร และมาจากประเทศอะไร โดยมีเครือข่ายใหญ่อยู่ที่ต่างประเทศโดยนายหลิน ได้ค่าจ้างเดือนละ 40,000 เหรียญไต้หวันหรือราวๆ 44,000 บาท และนายหลิน ได้จ้างวานนายโสภณ ให้เป็นล่ามในการช่วยประสานงานการทำงานวันละ 1,000 บาท ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ขยายผลถึงเครือข่ายที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับการตรวจยึด Sim Box หรือเครื่องกระจายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งโดยทั่วไปไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปติดตั้งใช้ส่งสัญญาณโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน ซึ่งขณะตรวจค้นพบว่ามีการติดตั้งและเปิดทำงานอยู่ จึงแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้งสองคนในข้อหา “ร่วมกัน ทำ มี ใช้ นำเข้า นำออก หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498, ร่วมกันตั้งสถานีวิทยุคมนาคม โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้ออกใบอนุญาต ตามมาตรา 11 พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498, ร่วมกันใช้คลื่นความถี่ในการประกอบกิจการโทรคมนาคม โดยไม่ได้รับอนุญาตอันมีลักษณะที่เป็นการประกอบกิจการโทรคมนาคมแบบที่สาม ตามมาตรา 67(3) ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม”