ในช่วงนี้หลายคนสังเกตเห็นว่า “นายกฯ เสี่ยนิด” นายเศรษฐา ทวีสิน ออกจะเนือยๆ ไม่ค่อยมีข้อสั่งงานมากเหมือนเมื่อก่อน เรื่องการศึกษาการลงทุนอะไรก็ยังไม่คืบหน้า เช่น เรื่องแลนด์บริดจ์ หรือ การให้ต่างชาติเช่าที่ได้ 99 ปี ถือครองคอนโดฯ ได้ 75% ก็เงียบไป คาดว่า นายกฯ น่าจะกลับมาลุยงานเต็มสูบอีกครั้งต้นเดือน ส.ค. หลังผ่านพิธีมหามงคลไปก่อน ซึ่งตอนนี้ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการจัดงานวันมหามงคล “วาระงานที่ใหญ่ที่สุด” ของนายเศรษฐา คือ การแถลงเรื่องเงินดิจิทัล (อีกรอบ) ที่คิดว่า “ควรจะแถลงครั้งสุดท้ายไม่ให้ถูกมองว่ารัฐบาลกลับไปกลับมา” ในวันที่ 24 ก.ค.นี้

นายเศรษฐาถูกมองว่า “ยังไม่มีผลงานโดดเด่นเป็นรูปธรรมนัก” นโยบายเรือธงอย่างดิจิทัลวอลเลตก็ล่าช้า นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นก็มีหลายคนว่ายังไม่เห็นภาพ แต่ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คงมีอะไรให้นายกฯ ได้ชื่นใจบ้างตรงที่แอปพลิเคชั่น LINE TODAY เปิดสำรวจคะแนนความนิยมของนักการเมืองในปัจจุบันประจำเดือน ก.ค.2567 โดยเปิดโหวตตั้งแต่วันที่ 1-20 ก.ค.ที่ผ่านมา ในหัวข้อ “คุณคิดว่าใครมีบทบาท ผลงานโดดเด่น หรือถูกใจคุณที่สุด” ปรากฏผลการสำรวจ 10 อันดับแรก พบว่า นักการเมืองที่ได้คะแนนมากที่สุดอันดับ 1 คือ นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ 8,742 คะแนน คิดเป็น 40.13%  ตามมาด้วยอันดับ 2 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ 7,425 คะแนน คิดเป็น 34.09 %  อันดับ 3 นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ 1,966 คะแนน หรือ 9.03 % 

อย่างไรก็ตาม บทพิสูจน์ตัวเองของนายเศรษฐาก็ค่อนข้างหนักในฐานะ “นายกฯ แคนดิเดตของพรรค แต่ไม่ใช่ผู้มีอำนาจในพรรค” ซึ่งก็ไม่ทราบว่า หลัง 22 ส.ค. ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยพ้นโทษแล้ว จะกลับมารับตำแหน่งอะไรในพรรคหรือไม่ คงเป็นสมาชิกพรรคป้องกันข้อครหาคนนอกแทรกแซงพรรค และเป็น “ผู้มีบารมีตัวจริงของพรรค” ขนาดนายวันชัย สอนศิริ สว. ยังยอว่า ดวงอยู่ในฐานราชาโชค เคยดับอับแสงจะกลับมาสว่างไสวเจิดจ้า

พร้อมยังเหน็บแนมว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และพลพรรคเพื่อไทยขับเคลื่อนอยู่เช่นนี้ ยังไม่มีผลงานใดที่โดนใจประชาชน จะอยู่ในที่มืดต่อไปคงไม่ได้ จันทร์ต้องออกมาส่องหล้าด้วยตัวของนายทักษิณเอง นายทักษิณต้องออกมาขับเคลื่อนให้เห็นเด่นชัดแบบตรงไปตรงมา เพราะดาวพฤหัสและราชาโชคเปิดโอกาสให้แล้ว
////////////////////////

ใกล้เวลาเลือกประธานสภาสูงเข้ามาแล้ว ในวันที่ 23 ก.ค.นี้ โดยกลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ มีมติส่ง 1. น.ส.นันทนา นันทวโรภาส ชิงตำแหน่งประธานวุฒิสภา 2. นายแล ดิลกวิทยรัตน์ ชิงรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 3. นางอังคณา นีละไพจิตร ชิงรองประธานวุฒิสภา คนที่ 2 เปิดแสดงวิสัยทัศน์ วันที่ 23 กค. 9.30 น.

นายประภาส ปิ่นตบแต่ง สว.อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็น สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ เชื่อว่า น.ส.นันทนา จะแสดงวิสัยทัศน์ในเชิงบวกว่าคุณสมบัติของคนที่เป็นประธานวุฒิสภาควรจะเป็นอย่างไร ส่วนจะได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับ สว. แต่ละคนว่าจะมีความเห็นอย่างไร แต่เชื่อว่าคงจะมีการประนีประนอมกันกับกลุ่ม สว. สีน้ำเงิน เพราะฉะนั้นการประชุมในวันที่ 23 ก.ค.นี้ คงจะราบรื่นไม่มีอะไร และลงมติกันไป

พร้อมทั้งนี้ยัง “ดักคอ” สว.สายสีน้ำเงินว่า “ถ้าไม่ให้ สว.พันธุ์ใหม่สักตำแหน่ง เชื่อว่าสังคมและสื่อมวลชนก็คงจะช่วยกันตรวจสอบว่ามีคนที่มีคุณสมบัติที่ดีแล้วไม่เลือก” และนายประภาสยังยอมรับว่า การแบ่งกลุ่มก๊วนอาจมีผลต่อการพิจารณากฎหมายสำคัญ และการเลือกองค์กรอิสระ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็คงยาก เพราะต้องใช้เสียง สว. 1 ใน 3 คือ 67 คน ซึ่งบางมาตราอาจแก้ไขได้ อาจจะไม่ต้องแก้ไขหรือยกร่างใหม่ทั้งฉบับ นายประภาสคิดว่ามีหลายมาตราน่าจะเห็นร่วมกันว่าจะต้องมีการแก้ไข อยู่ที่จุดมุ่งหมายว่า ถ้าต้องการที่จะไปปฏิรูปใหม่ก็ต้องมีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร ) เหมือนรัฐธรรมนูญปี 40 ต้องยอมเสียเวลา ซึ่งยาก จึงน่าจะมีแก้การแก้ไขบางมาตราที่เป็นปัญหาจริงๆ รวมทั้งการเลือก สว. ที่ผ่านมา น่าจะมีการทบทวนใหม่ แต่ไม่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้ ต้องให้ทำงานกันไปก่อน อาจจะเป็นช่วงปลายสมัยของ สว.ชุดนี้

“ถ้ามีสภาเดียวก็ต้องไปแก้รัฐธรรมนูญ แต่เสียงพรรคก้าวไกลมีอยู่นิดเดียว สว.ก็ถูกคุมได้แล้วจะไปแก้อย่างไร แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ มาหน่อย เปรียบเทียบกับ สว.ชุดที่แล้ว ที่มีการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ก็เอารัฐมนตรีมาสรรเสริญกัน ครั้งนี้ก็อาจจะมีแต่คงไม่ใช่ทั้งหมด การทำงานในเชิงตรวจสอบ ก็จะมี สว.ที่ไม่ใช่สีน้ำเงินแม้จะไม่มาก ถ้าขยันทำงาน เป็นชิ้นเป็นอันเหมือน สว.ที่มาจากการเลือกตั้งปี 40 ก็ทำให้เห็นผลงานได้” นายประภาส กล่าว

อย่างไรก็ตาม มีข่าวว่า สว. สีน้ำเงิน 150 คน ได้นัดประชุมกัน และมีมติเสนอชื่อ นายมงคล สุรัจสัจจะ สว.อดีตอธิบดีดรมการปกครอง สายตรง “บ้านใหญ่บุรีรัมย์ ” เป็นประธานวุฒิสภา  พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์  สว. อดีต ผช.ผบ.ทบ. อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 เพื่อนร่วมรุ่น วปอ. กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 และนายบุญส่ง น้อยโสภณ สว. อดีต กกต. เป็นรองประธานวุฒิสภา คนที่ 2.