สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ว่า กฎหมายดังกล่าวมีขึ้นหลังจากผู้ขอลี้ภัยจำนวนมาก เดินทางเข้าฟินแลนด์ผ่านชายแดนฝั่งตะวันออกของประเทศ ซึ่งรัฐบาลเฮลซิงกิอ้างว่า รัสเซียเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการอพยพครั้งนี้ ขณะที่ทำเนียบเครมลิน ปฏิเสธข้อกล่าวหาข้างต้น
สมาชิกสภานิติบัญญัติฟินแลนด์ ลงมติเห็นชอบกฎหมายว่าด้วยมาตรการชั่วคราว เพื่อต่อสู้กับการอพยพที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือ ด้วยคะแนน 167 ต่อ 31 เสียง โดยร่างกฎหมายจำเป็นต้องได้รับการลงนามโดยประธานาธิบดีอเล็กซานเดอร์ สตับบ์ ก่อนมีผลบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าการดำเนินการจะแล้วเสร็จภายในไม่กี่วันหลังจากรับรองกฎหมาย
ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 1 ปี และจะทำให้รัฐบาลฟินแลนด์ สามารถจำกัดการรับคำร้องขอการคุ้มครองระหว่างประเทศ ที่ชายแดนฟินแลนด์และบริเวณใกล้เคียงได้
“มันคือข้อความอันทรงพลังที่ส่งถึงรัสเซีย และพันธมิตรของเรา ว่าฟินแลนด์จะดูแลความปลอดภัยของตนเอง และความมั่นคงของพรมแดนในสหภาพยุโรป (อียู)” นายกรัฐมนตรีเพตเตรี ออร์โป ผู้นำฟินแลนด์ กล่าวในการแถลงข่าว หลังการลงมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
อย่างไรก็ตาม ผู้สันทัดกรณีด้านกฎหมายชี้ว่า ร่างกฎหมายข้างต้นขัดแย้งกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งระบุไว้ในรัฐธรรมนูญของฟินแลนด์ รวมถึงภาระผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ พรรคฝ่ายค้านของฟินแลนด์ เช่น พรรคกรีน และพันธมิตรฝ่ายซ้าย ตลอดจนบุคคลจากพรรคการเมืองอื่น ๆ ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ต่างคัดค้านร่างกฎหมายของพรรครัฐบาลอย่างหนัก ซึ่งในขณะเดียวกัน สื่อท้องถิ่นรายงานว่ามีประชาชนประมาณ 100 คน รวมตัวนอกอาคารสภานิติบัญญัติ เพื่อประท้วงสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “กฎหมายเนรเทศ”.
เครดิตภาพ : AFP