เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ดร.อรรถพล สังขวาสี เลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส หรือ พีดับบลิวซี (PwC)  ซึ่งเป็นบริษัทตรวจสอบบัญชีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้นำเสนอรายงาน “PwC 2024 Global AI Jobs Barometer” ในการประชุมสุดยอด VivaTech ณ กรุงปารีส โดยรายงานดังกล่าว PwC ได้สำรวจ CEO  ทั่วโลก เพื่อตรวจสอบผลกระทบของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ เอไอ ที่มีต่อตำแหน่งงาน ทักษะ ค่าจ้าง และประสิทธิภาพการทำงาน และเก็บข้อมูลจากโฆษณารับสมัครงานกว่า 500 ล้านรายการใน 15 ประเทศ ผลการศึกษาพบว่า CEO 84% ระบุว่า เอไอช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ CEO 70% ยังเชื่อว่าเอไอจะเปลี่ยนวิธีที่การสร้าง ส่งมอบ และเพิ่มมูลค่าของกิจการในอีก 3 ปีข้างหน้า และ CEO 69% ระบุว่า การใช้เอไอต้องอาศัยทักษะใหม่ๆ จากพนักงาน ทั้งนี้ CEO ที่นำเอไอมาใช้งานในบริษัทแล้ว 87% ยืนยันว่าการใช้เอไอต้องอาศัยทักษะใหม่ๆ จากพนักงานจริง  ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเทคโนโลยีเอไอกำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานทั่วโลก ขณะที่ประเทศไทย เอไอกำลังเปลี่ยนแปลงตลาดแรงงานไทยอย่างมีนัยสำคัญ เพราะปัจจุบันงานที่ต้องใช้ทักษะเอไอในประเทศไทยกำลังเป็นที่ต้องการและหายากในตลาดมากขึ้นส่งผลให้ค่าตอบแทนของงานประเภทนี้สูงกว่างานไอทีและวิศวกร

เลขาธิการ สกศ. กล่าวต่อไปว่า  ทั้งนี้ที่ผ่านมา สกศ.ได้ศึกษาเรื่องนี้แล้วว่า การที่ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และจะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจ ดังนั้น หากไทยต้องการรักษาสถานะทางเศรษฐกิจให้เทียบเท่าปัจจุบัน คนรุ่นต่อไปต้องเก่งกว่ารุ่นปัจจุบัน 2.2 เท่า และหากต้องการให้เศรษฐกิจเติบโตจำเป็นต้องเก่งกว่ารุ่นปัจจุบัน 2.5 เท่า ซึ่งผลการศึกษา PwC  2024 Global AI Jobs Barometer จึงถือเป็นเรื่องดีสำหรับประเทศไทยที่กำลังจะเผชิญปัญหาแรงงานไม่เพียงพอจากโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป และจะส่งผลให้ผลิตภาพแรงงานเติบโตช้า ดังนั้นหากกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เร่งปรับการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาคนให้มีทักษะเอไอ นอกจากช่วยให้ไทยมีความพร้อมรองรับเทรนด์องค์กรในการจ้างคนเก่งด้านเอไอแล้ว ยังเป็นพื้นฐานสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้มีรากฐานที่แข็งแกร่งอีกด้วย