“โครงการประชาสังคมร่วมแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงเมือง” สนับสนุนโดยสหภาพยุโรป (อียู) ได้ตระหนักให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนเมืองและสิ่งแวดล้อม จึงได้เปิดเวทีเสวนา “เมือง (ไม่) รู้ร้อนรู้หนาว กับ ชุมชนเมือง ในยุคโลกเดือด” แนวทางนำสู่การเตรียมความพร้อม รับมือ ปรับตัว อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม (People-centred urban climate resilience and adaptation)
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/07/S__34488418-1-1280x854.jpg)
ดร.ผกามาศ ถิ่นพังงา ผอ.โครงการประชาสังคมร่วมแรงเพื่อเปลี่ยนแปลงเมือง เล่าถึงโครงการฯโจทย์ใหญ่ ทำให้ภาคประชาสังคมไทยมีบทบาทขับเคลื่อนเรื่องเมืองและสิ่งแวดล้อม ดำเนินงานใน 6 จังหวัดนำร่อง สงขลา พัทลุง สตูล ขอนแก่น อุดรธานี และหนองคาย เป้าหมายสร้างศักยภาพภาคประชาสังคม โดยทำงานร่วมกับภาควิชาการและภาครัฐ เหตุที่เน้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญ คำว่า “เมือง” ไม่ใช่แค่พื้นที่เทศบาลนคร
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/07/S__34488505-1280x854.jpg)
แต่เป็น เรื่องกระบวนการ กลายเป็นเมือง เช่น การปรับเปลี่ยนพื้นที่สีเขียว พื้นที่ชุ่มนํ้า พื้นที่เกษตร ให้กลายเป็นหมู่บ้านจัดสรร ที่อยู่อาศัย ถนน โรงงานอุตสาหกรรม ทั้งจากนโยบายรัฐและภาคธุรกิจ ประชากรอพยพมาอยู่ในเมืองใหญ่มากขึ้น การพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน เป็นธรรมและเท่าเทียม จำเป็น ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นแล้ว เห็นผลกระทบชัดเจน จะเตรียมความพร้อมอย่างไร ไม่ใช่มีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบมากกว่า เราใช้เวลา 5 ปี คลี่คลายประเด็นการพัฒนาเมืองและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ บริบทแต่ละพื้นที่ต่างกัน ปัญหาที่มีต่างกัน
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/07/S__34488430.jpg)
“หากชุมชนมีศักยภาพและเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ของเมือง มีศักยภาพในการปรับตัว และเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติและความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ที่ผ่านมาเราประเมินความเปราะบางชุมชนต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นำไปสู่การวางแผน รับมือ ปรับตัว ยึดหลักให้ชุมชนภาคประชาสังคมเก็บข้อมูลเอง มีข้อมูลระดับครัวเรือน ระดับชุมชน และเชิงลึก เปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงเมืองในอดีต ปัจจุบันและในอนาคต” ดร.ผกามาศ กล่าวและว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นที่ประจักษ์
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/07/S__34488415-1.jpg)
เหตุการณ์สุดขั้วอย่างปี 66 ที่นราธิวาส-ยะลา ฝนตกหนักระดับ 600 มิลลิเมตร ในรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งไม่เคยเกิดมาก่อน เกิดนํ้าท่วมหนัก แสดงถึงความไม่ปกติ คาดการณ์ได้ยากขึ้น ปัจจุบันเมืองต่าง ๆ ในไทย มีแนวโน้มเหมือนกรุงเทพมหานคร การพัฒนาอย่างไร้ทิศทาง ผังเมืองหมดอายุ ส่งผลปัญหาซับซ้อนแก้ยาก
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/07/S__34488431-1-1280x853.jpg)
ด้าน ศ.ดร.บัวพัน พรหมพักพิง ศูนย์ประชาสังคมและการจัดการองค์กรเอกชน และสาธารณประโยชน์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.ขอนแก่น ขยายความว่า ขอนแก่น อุดรธานี หนองคาย เป็นเมืองเกิดขึ้นตามมิตรภาพ การพัฒนาเมืองมีการทำเส้นทางรถไฟ สร้างถนนมิตรภาพ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต ปัจจุบันมีโครงการรถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง เมืองจะยิ่งเติบโต และมีรายได้สูง สภาพความเปราะบางของเมืองขอนแก่นมีปัญหาที่อยู่อาศัย ผลกระทบจากโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ นำไปสู่การหาที่อยู่อาศัยใหม่ ต้องปรับตัวหาอาชีพใหม่ และรายล้อมด้วยปัญหาของเมือง ฝนตกนํ้าท่วม
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/07/S__34488422-1280x853.jpg)
ส่วนอุดรธานี ยกกรณี เมืองหนองสำโรง ที่พัฒนาเป็นบ้านจัดสรร ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่นํ้าท่วมและแหล่งเสื่อมโทรม เมื่อมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่ก็ถมที่ดินสูงขึ้น ที่อยู่อาศัยเดิมก็ไม่มีปัญญาปรับปรุง คนจนคนรวยก็อยู่ผสมกันในเมือง ยังไม่พูดถึงเมืองเกิดใหม่ที่ขาดโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้เกิดนํ้าเสีย แต่ยังสามารถแก้ปัญหาได้
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/07/S__34488420-1.jpg)
ขณะที่หนองคาย มีกรณี อ.สระใคร รัฐบาลตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษหนองคาย นำป่าชุมชนเปลี่ยนสถานะเป็นพื้นที่โครงการ ดังกล่าว จะเปลี่ยนแปลงชุมชนอย่างแน่นอน เราชวนชาวบ้านที่เริ่มตื่นตัว วางแผนหากเมืองใหม่เกิดขึ้นจะปรับตัวอย่างไร แต่กลับถูกกล่าวหาว่าต่อต้านเขตเศรษฐกิจพิเศษ
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2024/07/S__34488427-1280x719.jpg)
หลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้น มองได้ว่า ฉากทัศน์การพัฒนาเมืองในประเทศไทย ที่จะไปในทิศทางเดียวกัน ยังขาดมุมมอง 360 องศา ที่ทุกฝ่ายควรต้องหันมาร่วมมือสื่อสารมองให้เป็นภาพเดียวกัน.