กลายเป็นโพสต์ที่หลายคนต่างเข้าไปอ่านและให้กำลังใจกันอย่างมากมายทันทีสำหรับโพสต์ของดีเจคนดัง ดีเจต้น สรพงษ์ ที่ล่าสุดได้ออกมาโพสต์รูปของตนเองและทนายหน้าโรงพัก พร้อมข้อความเล่าว่า “ผมมาใช้สิทธิตามกฎหมาย ผมทบทวนนานมากและปรึกษาผู้ใหญ่หลายท่านมาก พยายามหาจุดเชื่อม แต่สุดท้ายแล้วผมคิดว่า คนทำความผิดต้องได้รับผลของการกระทำ เงินที่โอนผ่านบริษัทที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาว่าเป็นบริษัทในเครือของบริษัทที่ผมซื้อโฆษณาอยู่ รวมทั้งสิ้น 22,971,000 บาท หลังจากนี้ให้ทางกฎหมายเป็นฝ่ายดำเนินการ ผมไม่ได้มีปัญหากับบริษัทที่ร่วมค้าขาย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากตัวบุคคล ผมจะสู้ในแบบของผม รายละเอียดอยู่ในคอมเมนต์ครับ #ให้เรื่องนี้เป็นตัวอย่าง #กรรมมาจากการกระทำ #เดี๋ยวจะมาดูกันนะครับ #เกือบ23ล้าน #จ่ายจริงไปเท่าไหร่ #ส่วนต่าง #ยังไง #โกงมาไม่โกงกลับ #ให้เวลาพิสูจน์เอง #ฝากเตือนพี่น้องดารา #ฝากเตือนลูกค้า #ฝากเตือนบริษัท #ฝากเตือนภัย”

จากนั้นไม่นานหนุ่มต้นก็ได้ลงรูปตอนให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมข้อความว่า “ผมโดนหลอกให้โอนเงิน 22.9 ล้านบาท เกือบ 23 ล้าน รายละเอียดในคอมเมนต์” ตามด้วยข้อความว่า “คำถามหลังจากนี้ ส่วนต่าง? บริษัทแม่จะจัดการยังไง?
ไม่มีคำขอโทษหรือคำอธิบายอื่นใด? การตรวจสอบยังไงดี?

*** ผมย้ำว่าผมไม่ได้มีปัญหากับทางบริษัทแม่และมีสายสัมพันธ์ที่ดี ผมมาทำธุรกิจกับที่นี่เพราะผมตอบแทนบุญคุณสมัยผมเป็นพิธีกรต๊อกต๋อยที่นี่คือจ่ายค่าตัวผม แต่วันนี้ผมมาช่วยคิดช่วยทำช่วยปรับ แต่สุดท้ายเกิดปัญหาแบบนี้ อันนี้คืออย่างไร ตามข้อกฎหมายนี่คือ ……. ถ้าท่านนั้นได้เห็นข้อความนี้ หยุดการกระทำนั้นซะ อยู่ที่ไหนก็ตามความซื่อสัตย์มีค่ามาก ผมโชคดีที่ได้คุยตรงกับ CEO ของบริษัทถ้าไม่อย่างนั้นผมคงโดนปั่นจนออกไปจากระบบแล้วทุกคนเข้าใจผมผิด บอกกับหลายคนว่าผมจ่ายเงินไม่ตรง ผมย้ำว่าผมจ่ายก่อนทุกครั้งและบางครั้งล่วงหน้าด้วย คิดว่าผมเรื่องเยอะ ปั่นราคา ที่ไหนได้ มีคนเล่นนอกเกม และกำลังหาลู่ทาง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า กฎแห่งกรรมตามทันเสมอ”

“วันนี้ที่ออกมาเล่าเรื่องนี้ไม่ได้กดดันใคร ไม่อยากทำร้ายใคร แต่จำเป็นต้องทำเพราะมันคือการปกป้องชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของบริษัทผม ผมไม่ได้สร้างบริษัทนี้มาเมื่อวาน ผมเข้าใจว่าอยากรวย อยากสุขสบาย แต่เชื่อผมเถอะ อย่าทำผิดกฎหมาย ขอบคุณทุกคอมเมนต์และทุกแชร์ ครับผม ผมยินดีให้สัมภาษณ์กับทุกสื่อสำหรับเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับการทำธุรกิจสื่อโฆษณาและรู้ทันการฉ้อโกงในการทำธุรกิจนะครับ ฝากพี่ๆสื่อติดต่อมาเลย ไม่ปฏิเสธแล้วเมื่อบ่ายปฏิเสธไป 2 สำนัก ขออภัยครับ ฝากแจ้งพี่ๆสื่อติดต่อมาได้เลย ผมยินครับ”

ตามด้วยข้อความว่า “ผมนั่งคิดเรื่องนี้อยู่นานมากว่าจะโพสต์เรื่องนี้ดีมั้ย แต่สุดท้ายผมอยากให้เป็นอุทาหรณ์และเป็นตัวอย่างครับ เอาเป็นว่าผมจะเล่านิทานให้ฟังนะครับ ผมดำเนินธุรกิจของผมมาสักระยะหนึ่งแล้วถ้าทุกท่านติดตามก็พอจะทราบดีเราลงทุนและร่วมธุรกิจกับหลายค่ายหลายช่องไม่เคยมีปัญหาใดๆเลย มาถึงวันนึงผมได้คุยและตกลงทำธุรกิจกับค่าย ค่ายหนึ่งตกลงซื้อขายกันปีนึงก็หลายสิบล้านถ้าจำไม่ผิดเกิน 40 ล้านแน่นอน ก็ทำธุรกิจมาสักพักนึง เริ่มมีปัญหาเรื่องการซื้อขายบ้างแต่ไม่เยอะ มาถึงวันช่วงประมาณปลายปีที่แล้ว คนที่ทางค่ายมอบหมายให้มาประสานและดิวทุกอย่างกับบริษัท แจ้งว่าจะมีการเปิดบริษัทใหม่ ในเครือของค่ายเดิมที่ซื้อขายกันและต้องมีการโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทใหม่นั้น ผมก็ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะคิดว่าน่าจะมาจากเรื่องของรายรับรายจ่ายและการคำนวนภาษี ก็จ่ายไป โดยที่ไม่ได้สอบถามกับทางบริษัทที่เป็นมหาชนที่ตกลงซื้อขายกันตั้งแต่ครั้งแรกเพราะคิดว่าไม่น่ามีอะไร จ่ายมาสักพักนึง (ทุกครั้งเราจะชำระก่อนการบันทึกเทปล่วงหน้าอยู่แล้ว ) พักหลังๆมาเริ่มบอกว่าผมเรื่องเยอะ ขอนั่น ขอนี่ ขอโน่น จนถึงขั้นโทรมาบอกกับผมว่าขอยุติการซื้อขายกับผม ซึ่งแพลนไปถึงจบปี 2564 แล้ว ก็มีโทรฯคุยกันแต่ห้ามผมคุยกับผู้บริหารท่านอื่นให้จบไปเงียบๆ”

“ผมก็บอกว่าไม่ได้ต้องให้โอกาศผมอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งตามที่ตกลงกันบางอย่างไม่ได้ตกลงกันแบบนี้ (มีการขอขึ้นราคา จากการเปิดบริษัทใหม่ที่อ้างว่าเป็นบริษัทลูกของบริษัทที่เป็นมหาชน ขึ้นมาเกือบทุกรายการที่คุยกันไป บางรายการขึ้นอีกตอนละ 5 หมื่น) ผมไม่สามารถไปแจ้งลูกค้าได้ว่าขอขึ้นกลางคันเพราะตกลงและเซ็นสัญญากับทางผมไปแล้ว ในระหว่างการทำงานมีการพูดกับผมขอขายตรงกับลูกค้าเราได้มั้ย? อันนี้ก็ไม่เคยเจอ จนผมทนไม่ไหว โพสต์ไป 1 รอบว่า ถ้าไม่สบายไม่ต้องทำงานด้วยกันก็ได้ (เหมือนจะเคยเป็นข่าว ไปเบาๆ ) ตัดมาที่ตรงที่เขาขอยกเลิกกับผม ผมเลิกเขาว่าขอคุยกับทางผู้ใหญ่ สุดท้ายง่ายๆเลยครับ ทางบริษัทแม่ที่ไม่ได้รู้เรื่องบริษัทที่อุปโลกน์ขึ้นมาเลย ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นคือผมงงมากว่าคืออะไร ทำไมกล้าทำ หลอกว่าเป็นบริษัทในเครือ กินส่วนต่าง ความพีคหลังจากนั้น มาถึงตรงนี้ในระยะเวลาแค่เพียงไม่กี่เดือนผมได้จ่ายผ่านไปกับบริษัทที่หลอกผมว่าเป็นบริษัทในเครือไปทั้งหมด 22.9 ล้านกว่าๆ เกือบ 23 ล้าน”

พอหลังจากหนุ่มต้นลงรูปไป ก็มีชาวเน็ตมากดไลค์พร้อมคอมเมนต์สอบถามเรื่องราวและให้กำลังใจ รวมถึงขอให้จับคนร้ายได้ไวๆอีกด้วย

ขอขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม dj_ton