แม้ส่วนหนึ่ง…จะมาจากฝีไม้ลายมือของบรรดานักแสดงรุ่นใหม่ แต่การขับเคลื่อนให้ธุรกิจนี้มีชีวิตชีวา ทำกำไรจนพลิกฟื้นลืมตาอ้าปากได้ ต้องมาจากองคาพยพที่ร่วมมือร่วมกันผลักดันจนเห็นแสงสว่าง

ปัจจุบัน!! อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของไทยมีมูลค่าสูงถึง 18,450 ล้านบาททีเดียว แล้วก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า บรรดาผู้สร้างสรรค์ ต่างนำเทคโนโลยีนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาประยุกต์ใช้

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่คุณ ๆ ท่าน ๆ ได้เห็นคุณภาพของงานที่มีการยกระดับมากขึ้น ทั้งการมีภาพที่งดงาม แสง สี เสียง ที่เป็นธรรมชาติ หรือแม้แต่การสนับสนุนจากภาครัฐ

ด้วยเหตุนี้…การก้าวกระโดดของธุรกิจนี้จึงเป็นที่ประจักษ์ จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ขณะนี้มีบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุริจผลิตภาพยนตร์มากถึง 1,442 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนรวมกว่า 7,387 ล้านบาท

ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่แล้ว ต่างเป็นบริษัทขนาดเล็ก 1,383 ราย หรือคิดเป็น 95.91% ทีเดียว โดยบริษัทรายเล็กๆเหล่านี้เมื่อคิดมูลค่าทุนจดทะเบียนรวม ๆ กัน ก็มีกว่า 4,843 ล้านบาท

ขณะที่รองลงมา เป็นบริษัทขนาดกลาง จำนวน 55 ราย ทุนจดทะเบียนรวมกันกว่า 1,629 ล้านบาท ขณะที่บริษัทขนาดใหญ่มี 4 ราย มีทุนจดทะเบียนกว่า 915 ล้านบาท

ไม่เพียงเท่านี้!! เมื่อหันมาดูผลประกอบการ ทั้งรายได้ และกำไร ยังพบว่า ในปี 65 ธุรกิจผลิตภาพยนตร์ มีรายได้ มากถึง 12,895.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 32% จากปี 2564 ที่มีรายได้ 9,761.54 ล้านบาท

หากมาย้อนดูรายได้รวมย้อนหลัง 3 ปี หรือตั้งแต่ปี 63-65 ซึ่งเป็นช่วงหลังจากเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ธุรกิจนี้สามารถสร้างรายได้ รวมถึง 33,009.84 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามหากมาดูเฉพาะ 4 เดือนแรกของปี 67 นี้ (ม.ค.-เม.ย.) มีบริษัทผลิตภาพยนตร์เกิดใหม่ถึง 56 ราย เติบโตจากปีก่อน 12% โดยมีทุนจดทะเบียนทะยานขึ้นไปกว่า 146.44%

ส่วนในปีที่แล้ว หรือปี 66 มีธุรกิจผลิตภาพยนตร์ที่จดทะเบียนนิติบุคคล 137 ราย มีทุนจดทะเบียนรวมกันกว่า 258 ล้านบาท เติบโตจากปี 65 ถึง 20%

หากจะบอกว่าเวลานี้ “ซีรีส์วาย” ได้ช่วยพลิกอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยให้เป็นโอกาสของธุรกิจบันเทิง ก็ไม่ได้ผิดจากความเป็นจริง เพราะบรรดาผู้สร้างสรรค์ ต่างนำเสนอคอนเทนต์ที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์

ที่สำคัญยัง “โดนใจ” คนรุ่นใหม่ ที่ตอกย้ำความเสรีและเคารพความหลากหลายทางเพศในไทย ที่นับวันยิ่งมีจำนวนมากขึ้น และยังมีเนื้อหาที่มีศักยภาพสูง สามารถทำตลาดในต่างประเทศได้

ไม่ใช่แค่เรื่องภาพยนตร์เท่านั้น ที่สร้างรายได้เป็นกอบกำ แต่ธุรกิจนี้ยังสร้างรายได้ให้กับบรรดาธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านการท่องเที่ยว สถานที่จัดการแสดง ธุรกิจโฆษณา ธุรกิจแฟชั่นต่าง ๆ ธุรกิจอาหาร และอีกมากมายสารพัด

อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า ภาพยนตร์ไทย ถือเป็นอีกหนึ่งซอฟพาวเวอร์ ที่รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ได้พยายามบุกหนักรุกหนัก ให้เป็นอุตสาหกรรมดาวเด่น เพื่อสร้างรายได้ และสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ

แม้ในเรื่องของมูลค่า อาจเทียบกับไม่ได้กับอุตสาหกรรมการผลิตของไทย ที่มีมูลค่าการส่งออกนับแสนล้านบาทในแต่ละอุตสาหกรรม

แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้เช่นเดียวกันว่า อุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ไทย ก็ไม่แพ้อุตสาหกรรมไหนเช่นกัน ดังนั้น…การส่งเสริม การผลักดันให้อุตสาหกรรมนี้เดินหน้าเพื่อสร้างความรื่นรมย์ให้คนทั้งโลก จึงเป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อย

ขณะเดียวกัน ในแง่ของผู้ผลิต หรือเจ้าของกิจการ ก็ต้องสร้างสรรค์ สั่งสมให้ธุรกิจนี้มีคุณภาพในทุก ๆ ด้านมากยิ่งขึ้น ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อย

ก็เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า…การทำให้ธุรกิจดีขึ้นนั้นไม่ยาก แต่การรักษาคุณภาพและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่ยากกว่า!!.

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”

อ่านบทความทั้งหมดคลิกที่นี่