ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการพัฒนาวัคซีนเอง ตั้งแต่การระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือโควิด-19 ช่วงต้นปี 2563 ซึ่งมีการพัฒนาวัคซีนแล้วกว่า 20 ชนิด โดยศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการวิจัยและพัฒนาวัคซีนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับเป็นหนึ่งในความหวังของคนไทยและทั่วโลกในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตลงได้
บริษัท เมอร์ค จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจยา เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ทางนวัตกรรม จัดสัมมนาออนไลน์ Covid-19 Vaccines and Thailand’s Stance in the World Market นำเสนอข้อมูล ข่าวสาร เกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของสองนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 และติดตามความคืบหน้าของงานวิจัย พร้อมนำเสนอนวัตกรรมเครื่องมือที่ตอบโจทย์การศึกษาทางด้านการตรวจวิเคราะห์ทางภูมิคุ้มกันวิทยาแบบองค์รวม (Multiplexing Platform)
รศ. ดร.วรัญญู พูลเจริญ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ใบยา ไฟโตฟาร์ม จำกัด ผู้คิดค้นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากใบยาสูบแห่งแรกในประเทศไทย กล่าวว่า วัคซีน “ใบยาซาร์สโควีทูแวกซ์1 (Baiya SARS CoV-2 Vax 1)” เป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ชนิด โปรตีนsubunit ที่ผลิตโดยพืชใบยาสูบสายพันธุ์ดั้งเดิมจากประเทศออสเตรเลีย ซึ่งในอุตสาหกรรมยาทั่วโลกมีการใช้พืชเป็นแหล่งผลิตสารสำคัญต่าง ๆ ถึง 95% โดยใช้เทคโนโลยีในการนำสารพันธุกรรมของไวรัสเข้าสู่พืชด้วยแบคทีเรีย และกระตุ้นให้พืชผลิตโปรตีนของไวรัสตามที่ต้องการ ซึ่งโปรตีนที่ได้จากเทคนิคดังกล่าวจะมีความบริสุทธิ์ และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ ปลอดภัยต่อการใช้งาน โดยที่ผ่านมาได้ทำการทดลองกับลิง และหนูขาว พบว่ามีการสร้างแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการติดเชื้อไวรัสได้เป็นอย่างดี และสามารถช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่ปอด และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง
รศ.ดร.วรัญญู เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ได้มีการเปิดรับอาสาสมัคร เพื่อรับวัคซีนใบยา สำหรับการทดสอบระยะที่ 1 โดยมีการทดลองในระยะนี้ไปแล้วทั้งหมด 16 คน ซึ่งผู้ที่เข้ารับวัคซีนเป็นอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี มีอายุระหว่าง 18 – 75 ปี และไม่เคยได้รับวัคซีนโควิด-19 ชนิดอื่นมาก่อน ซึ่งหลังจากที่มีการทดสอบกับอาสาสมัครที่ได้รับการฉีดวัคซีนใบยาในปริมาณ 10 ไมโครกรัม พบว่าปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง โดยหลังจากนี้จะมีการทดสอบเพื่อดูปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมว่าควรจะเพิ่มปริมาณวัคซีนอย่างไร เพื่อให้ได้ผลการกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด และหวังให้คนไทยได้ใช้วัคซีนในช่วงกลางปี 2565 ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเรามีองค์ความรู้ในการพัฒนาวัคซีนด้วยตัวเองแล้ว ประเทศไทยของเราก็จะสามารถรับมือกับสถานการณ์โรคระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือเชื้ออื่น ๆ ในอนาคต
ด้านนายโชติวัฒน์ สีเพชรดี นักศึกษาปริญญาเอก ภาควิชาชีวเคมี มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้วิจัย และพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ในประเทศไทย เปิดเผยว่า วัคซีน COVID-19 ชนิด subunit โดยใช้ Spike protein เป็นแอนติเจน ซึ่งโปรตีนดังกล่าวได้รับการดัดแปลงให้มีความเสถียรมากขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงกรดอะมิโน 6 ตำแหน่งให้เป็น “Proline” (HexaPro) จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 2 ตำแหน่ง (S-2P) ซึ่ง S-2P ถูกใช้ในวัคซีนของหลาย ๆ บริษัท อาทิ Moderna, Pfizer-BioNTech, Novavax, Janssen (J&J) ซึ่งทีมวิจัยได้ทดสอบวัคซีน HexaPro subunit (+ alum adjuvant) ในหนูทดลอง และพบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันชนิด neutralizing antibody ได้ในระดับที่เทียบเท่า หรือมากกว่าในผู้ป่วย COVID-19 นอกจากนี้ยังมีวัคซีนชนิดอื่น ๆ ที่ใช้แอนติเจนรูปแบบ HexaPro และกำลังทดสอบในระยะคลินิกในประเทศไทย ได้แก่ NDV-HXP-S โดยองค์การเภสัชกรรมร่วมกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อนมหาวิทยาลัยมหิดล
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก : Merck Life Science Thailand