นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ สามารถเจรจาซื้อขายเครื่องบินปลดระวางทั้งหมดจำนวน 18 ลำได้แล้ว โดยดำเนินการทำสัญญาซื้อขายเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 จำนวน 6 ลำ เรียบร้อยแล้ว คาดว่าภายในเดือน พ.ค.-มิ.ย. 67 จะสามารถทำสัญญาได้อีก 12 ลำ ประกอบด้วย โบอิ้ง 777-300 จำนวน 6 ลำ และแอร์บัส A380 จำนวน 6 ลำ โดยไม่สามารถเปิดเผยมูลค่าการซื้อขายได้ แต่ได้บันทึกการด้อยค่าของเครื่องบิน และสินทรัพย์สิทธิการใช้ และอุปกรณ์การบินหมุนเวียนอยู่ที่ 3,338 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การบันทึกด้อยค่าครั้งนี้ ถือเป็นการบันทึกด้อยค่าจำนวนสูงสุดของปี 67 แล้ว หลังจากนี้จะเหลือเพียงบันทึกด้อยค่าจากอุปกรณ์การบิน เครื่องยนต์ต่างๆ อีกเล็กน้อย

นายชาย กล่าวต่อว่า การขายอากาศยานที่ปลดระวาง เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการบริษัทฯ ซึ่งขณะนี้ บริษัทฯ ยังมีสินทรัพย์ที่รอการขายอยู่อีกเล็กน้อย มูลค่ารวมไม่ได้มีนัยสำคัญแต่อย่างใด อาทิ ชิ้นส่วนอะไหล่ และอาคารสำนักงานในพื้นที่ต่างๆ รวม 4 แห่ง ได้แก่ ฮ่องกง 2 แห่ง, เชียงใหม่ 1 แห่ง และพิษณุโลก 1 แห่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกาศขาย ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงคาดการณ์ว่าจะสามารถยื่นกลับซื้อขายหลักทรัพย์ และออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้ตามเป้าหมายภายในปี 68 ส่วนในปี 2567 บริษัทฯ ยังคงคาดการณ์ว่าจะสามารถทำรายได้รวมอยู่ 1.8 แสนล้านบาท โดยเป็นรายได้จากการดำเนินงาน 1.6 แสนล้านบาท ส่วนอัตราบรรทุกผู้โดยสาร (เคบินแฟกเตอร์) คาดอยู่ในระดับ 75%

นายชาย กล่าวอีกว่า ณ วันที่ 31 มี.ค. 67 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินทั้งสิ้น 73 ลำ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 66 จำนวน 3 ลำ โดยเป็นการรับมอบเครื่องบินเช่ารุ่นแอร์บัส A350-900 ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 67 บริษัทฯ สามารถเพิ่มความถี่ในจุดบินที่มีศักยภาพได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถสร้างรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น โดยภาพรวมไตรมาสที่ 1 ปี 67 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีรายได้รวมทั้งสิ้น 45,955 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 4,448 ล้านบาท (10.7%) สาเหตุหลักเกิดจากรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 3,539 ล้านบาท (10.1%)