ศึกแดงเดือด ยกที่ 3 ประจำฤดูกาล 2023/24 ยังคงเดือดสมราคา เรด วอร์ ไม่ต่างจากการพบกันในเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ หลัง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดรัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เสมอกับ ลิเวอร์พูล อริร่วมชาติ อย่างสุดมัน 2-2

เมื่อมองจากฟอร์มการเล่นอันไม่คงเส้นคงวา และลีลาการเล่นที่ไร้รูปแบบโดยสิ้นเชิงของ แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้หนึ่งสมอง และสองมือของ เอริค เทน ฮาก แล้ว ไม่น่าเชื่อนะครับว่า พวกเขาจะไม่แพ้ ลิเวอร์พูล ที่ฟอร์มร้อนฉ่าเป็นหม่าล่าผสมผัดกระเพราไก่ เลยตลอดการพบกัน 3 นัดรวมทุกรายการในซีซั่นนี้ (ชนะ 1 เสมอ 2)

มิหนำซ้ำ ยังเป็นทีมเดียวที่สามารถเก็บคลีนชีตในการเผชิญหน้ากับทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ ได้อีกต่างหาก โดยต่อไปนี้คือประเด็นที่น่าสนใจที่ขออนุญาตหยิบมาฝากจากเกมที่ “โรงละครแห่งความฝัน” เมื่อคืนวันอาทิตย์สีแดงที่เพิ่งผ่านพ้นไปครับ

หงส์แดงต้องเขกเข่าตัวเองจากการใช้โอกาสแสนสิ้นเปลือง

นี่เป็นอีกครั้งที่ ลิเวอร์พูล ใช้โอกาสยิงประตูที่มีอย่างมากมายไปอย่างสิ้นเปลือง โดยเกมนี้ หงส์แดง มีโอกาสยิงประตูถึง 28 ครั้ง เฉพาะในครึ่งแรกก็ปาเข้าไปถึง 15 ครั้งเข้าให้แล้ว แต่พวกเขากลับเปลี่ยนเป็นประตูได้แค่หนเดียวเท่านั้น

จังหวะปิดบัญชีที่ไม่เด็ดขาดคือหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเก็บชัยชนะเหนือ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ ทั้งในการพบกันนัดแรกที่ แอนฟิลด์ (เสมอ 0-0) ที่มีโอกาสล่อเป้าถึง 34 ครั้ง และในศึกเอฟเอ คัพ รอบก่อนรองชนะเลิศ ที่บุกมาโดน ผีแดง สอยในช่วงต่อเวลาพิเศษ 4-3 นั่นด้วย

หมอผีตัวฉกาจที่ชื่อ โม ซาลาห์

โม ซาลาห์ กลายเป็นนักเตะที่ยิงประตูใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกถึง 11 เมล็ด หลังกดจุดโทษเป็นประตูตีเสมอ 2-2 ให้ ลิเวอร์พูล ในนาทีที่ 84

นอกจากนี้ ยังบุกมายิงได้ถึง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ถึง 6 ประตู ซึ่งทำให้ บังโม กลายเป็นนักเตะทีมเยือนที่ยิง แมนฯ ยูไนเต็ด ได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก แซงหน้า สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่เคยบุกมายิง อสูงแดง ถึงหลุม 5 ประตู ได้สำเร็จ

ขณะที่หากนับรวมทุกรายการแล้ว กองหน้าทีมชาติอียิปต์ พังตาข่าย แมนฯ ยูไนเต็ด ไปแล้วถึง 14 ประตูเลยทีเดียว

เสมอหนนี้สะเทือนถึงโอกาสลุ้นแชมป์หรือไม่

จากการทำได้แค่บุกไปไล่ตีเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถแซง อาร์เซนอล กลับขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูงได้สำเร็จ แต่ก็เป็นรองแค่ผลต่างประตูได้เสียที่ไล่หลัง ปืนใหญ่ ไกลสุดกู่ถึง 9 ประตู ส่วนแต้มเท่ากันอยู่ที่ 71 คะแนน โดยมี แมนฯ ซิตี แชมป์เก่า ตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยผลงาน 70 คะแนน

หลังเกมที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด Opta คำนวณออกมาว่า ลิเวอร์พูล มีโอกาสคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ 31 เปอร์เซ็นต์, แมนฯ ซิตี 40 เปอร์เซ็นต์ และ อาร์เซนอล 29 เปอร์เซ็นต์

อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างยังคงเป็นไปได้ตลอด 7 เกมที่เหลืออยู่ เมื่อมองจากโปรแกรมของทั้ง 3 ทีมที่ยังต้องพบกับของแข็งอย่าง สเปอร์ส

ขณะที่ อาร์เซนอล หนักหน่อยเพราะยังต้องไปเยือน แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ด้วย ส่วน แมนฯ ซิตี นอกจาก ไก่เดือยทองแล้ว ก็มีเพียงแค่ แอสตัน วิลลา ที่ดูจะเป็นกระดูกชิ้นโตที่สุดที่เหลืออยู่

การออกสตาร์ตได้อย่างย่ำแย่ของขุนพลลูกหนังพันธุ์อสูร

นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี หรือ นับตั้งแต่เดือนต.ค.ปี 2015 ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีโอกาสยิง ลิเวอร์พูล เลยแม้แต่ครั้งเดียวตลอด 45 นาทีแรก

อย่างไรก็ตาม เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด กระเตื้องขึ้นมาอย่างชัดเจนในครึ่งหลัง โดยมีโอกาสยิง 9 ครั้งเข้ากรอบ 5 ครั้ง และได้มา 2 ประตูจากจังหวะส่องไกลระยะ 40 หลาของ บรูโน แฟร์นันด์ส ซึ่งนับเป็นประตูที่ 50 ในพรีเมียร์ลีกของเจ้าตัวด้วย และการปั่นโค้งสุดสวยของเจ้าหนู ค็อบบี เมนู

ความผิดพลาดส่วนบุคคลกับ 7 คะแนนที่หายวับไปกับตา

จากที่ควรจะเก็บได้ 9 คะแนนเต็ม ๆ ใน 3 เกมที่ผ่านมา แต่ความผิดพลาดส่วนบุคคลกลับทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้ามาได้เพียง 2 คะแนน และทำแต้มหลุดมือไปถึง 7 คะแนนเลยทีเดียว

เริ่มจากเกมบุกเสมอ เบรนท์ฟอร์ด 1-1 ซึ่งพวกเขาได้ประตูขึ้นนำจาก เมสัน เมาท์ ในช่วงทดเจ็บนาทีที่ 90+6 แต่ดันปล่อยให้ ผึ้งน้อย ตามตีเสมอได้ในนาทีที่ 90+9 จากความผิดพลาดของแนวรับที่เอาแต่ยืนเอ๋อไม่มีใครตามประกบ คริสตอฟเฟอร์ อาเยอร์ ที่ยืนกางมุ้งรอซัดลูกเปิดของ ไอแวน โทนีย์ เข้าประตูไปแบบโล่ง ๆ

ถัดมาเพียงไม่กี่วันให้หลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ก็เอาชัยชนะไปโยนทิ้งแม่น้ำอีกครั้ง หลังอุตส่าห์พลิกจากที่ตกเป็นรอง เชลซี ก่อน 0-2 กลับมาแซงนำ 3-2 ได้สำเร็จ และทำท่าจะคว้าชัยได้รอมร่อจนกระทั่ง ดีโอโก ดาโลต์ ดันไปทำฟาวล์ โนนี มาดูเอเก จนทีมต้องเสียจุดโทษในช่วงทดเจ็บ

จากนั้นจึงเป็น โคล พาลเมอร์ ที่สังหารจุดโทษเข้าไปเป็นประตูตีเสมอ 3-3 ให้ สิงห์บลูส์ ในนาทีที่ 90+10 เท่านั้นยังไม่พอ พาลเมอร์ ยังมาซัดประตูชัยให้ เชลซี แซงเข้าวินแบบเหลือเชื่อ 4-3 ในนาทีที่ 90+11 จากจังหวะที่นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด เอาแต่ยืนชี้นิ้ว โดยไม่มีใครปรี่เข้าไปประกบ อดีตเด็กสร้าง แมนฯ ซิตี ในจังหวะที่ฉีกตัวไปรับบอลจากลูกเตะมุมของ เอ็นโซ เฟร์นานเดซ แม้แต่คนเดียว

ขณะที่ในเกมล่าสุดกับ ลิเวอร์พูล ความผิดพลาดส่วนบุคคลก็ยังทำให้พวกเขาพลาดโอกาสเด็ดปีกหงส์แดงเช่นกัน โดยคราวนี้เป็น อารอน วาน-บิสซากา ที่ดันทะเล่อทะล่าพุ่งเข้าไปเสียบ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ จนคว่ำในเขตโทษ ก่อนจะโดน ซาลาห์ สังหารจุดโทษเข้าไปเป็นประตูตีเสมอให้ทีมเยือนในนาทีที่ 84

ปีหนึ่งเพื่อนกัน และวันอัศจรรย์ของ ค็อบบี เมนู

นอกจากจะขโมยแต้มจาก ลิเวอร์พูล ได้ชนิดหักปากกาเซียนหลายสำนักแล้ว อีกหนึ่งมุมดี ๆ ทีพอจะเรียกรอยยิ้มจากแฟนบอลผีแดงได้ในเกมแดงเดือดหนล่าสุดก็คือประตูสุดสวยของ ค็อบบี เมนู นั่นเอง

ลูกปั่นโค้งเสียบเสาไกลของ เมนู นอกจากจะเป็นประตูที่ส่งให้ แมนฯ ยูไนเต็ด พลิกแซงขึ้นนำ ลิเวอร์พูล 2-1 แล้ว มันยังทำให้เขากลายเป็นนักเตะอายุ 18 ปีคนแรกที่พังตาข่าย หงส์แดง ในพรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ นับตั้งแต่ เชส ฟาเบรกาส ตำนานแข้งของ อาร์เซนอล ทำได้เป็นคนหลังสุดเมื่อเดือนพ.ค.ปี 2005 เป็นต้นมา

ขณะที่ เมนู ออกมากล่าวถึงประตูที่ยิงใส่ อริตัวเอ้ อย่าง ลิเวอร์พูล หลังจบเกมว่า “ทันทีที่รับบอลมาจาก วาน-บิสซากา ผมคิดว่า ผู้รักษาประตูคงไม่คิดว่า ผมจะยิงแน่นอน ดังนั้นผมจึงซัดบอลออกไป และมันรู้สึกดีมาก แถมยังโชคดีที่มันเข้าประตูไปจริง ๆ ด้วย”.