17 ปีที่รอคอย เช้ามืดวันที่ 18 ก.พ. “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เดินทางไปรับพ่อที่โรงพยาบาลตำรวจกลับ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ท่ามกลางกองทัพสื่อมวลชนที่ปักหลักรอทำข่าวข้ามวันข้ามคืน และกองเชียร์ที่เดินทางมาให้กำลังใจ ทุกคนได้เห็นอดีตนายกฯ ในสภาพที่ “ทักษิณ” สวมปลอกคออุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมอุปกรณ์พยุงแขน เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่ากำลังป่วยอยู่
ส่วนซีกฝ่ายค้าน“พรรคก้าวไกล” ออกแอ๊คชั่นย้ำจุดยืนว่า “ทักษิณ” ซึ่งถูกรัฐประหารและประเคนสารพัดคดี ต้องได้รับความยุติธรรมตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ไม่ใช่เอาเกณฑ์เรื่องสุขภาพมาอนุมัติให้พักโทษ ทำให้สังคมหยุดตั้งคำถามได้ถึงความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมายและการปฏิบัติเมื่อเปรียบเทียบกับนักโทษและผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองคนอื่น ๆ ไม่ได้ ยืนยันว่าสังคมไทยต้องการระบอบประชาธิปไตยที่ยึดหลักนิติรัฐและกระบวนการยุติธรรมเพื่อทุกคน ปราศจากระบบสองมาตรฐานหรือ “นิติรัฐแบบอภิสิทธิ์ชน”
นอกจากนี้ “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังเสี้ยมอีก ว่าหลังจาก “ทักษิณ” ออกมาอยู่ข้างนอก ห่วงว่าหากรัฐบาลบริหารจัดการไม่ดี จะเกิดสภาวะเหมือนประเทศไทยมีนายกฯ มากกว่าหนึ่งคน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และอาจทำให้สถานการณ์ตรงนี้เพิ่มความกดดันให้กับนายกฯ คนปัจจุบัน
ขณะที่ลูกหาบพรรคเพื่อไทยหลายคนยืนยันว่าไม่มีข้อห้ามในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของอดีตนายกฯ หลังพักโทษ และความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองสามารถนำมาปรับใช้ได้
ด้าน “เสี่ยนิด” ที่หลบฉากออกไปตระเวนลงพื้นที่จังหวัดในภาคอีสานตอนบน บอกว่ายินดีที่ “ทักษิณ” ได้กลับบ้าน เชื่อว่าเจ้าตัวไม่สนใจการเมือง อยากใช้เวลาอยู่กับครอบครัวและรักษาตัว ส่วนที่มองกันว่าจากนี้จะมีนายกฯ มากกว่าหนึ่งคนนั้น ขออย่าดราม่า ยึดรัฐธรรมนูญว่าประเทศไทยมีนายกฯ คนเดียวก็คือตัวเอง การขอคำปรึกษาจาก “ทักษิณ” ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่ผ่านมายังเคยขอคำปรึกษาจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะทุกคนล้วนมีประสบการณ์
สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้คือจุดหักเหการเมืองไทยหลังการคัมแบ๊กของ “ทักษิณ” ว่าจะเป็นบ่วงกรรมของ “เสี่ยนิด”ทำให้สถานภาพกลายเป็นเพียง “นายกฯเงา” และสุดท้ายจะสะเทือนไปถึงเก้าอี้ตำแหน่งนายกฯ คนที่ 30 หรือไม่.