เมื่อวันที่ 14 ก.พ. รายการโหนกระแส วันนี้พูดคุยกรณีหนุ่มเซลส์ขายรถ ไปร้องเรียนกับเพจต่างๆ ร้องเรียนทนายไพศาล ว่าถูกผู้หญิงที่คบหากัน มีพฤติกรรมแปลกๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไปไล่แจ้งความตนหลากหลายข้อหา พอวันรุ่งขึ้นก็มาบอกรัก ขอกลับมาคืนดี

แบงค์ ผู้ร้องเรียนเล่าว่า รู้จักผู้หญิงคนนี้ผ่านแอปหาคู่ เป็นคนที่ตรงสเปก ฝ่ายหญิงอายุมากกว่า ผิวขาว ปากหนา แต่งตัวดี เขาบอกว่าเขาเป็นผู้พิพากษาสมทบ หน้าที่การงานดี คุยกันตอนแรกๆ เขาบอกว่า ถ้าเราไม่จริงจังขอให้ผ่านได้เลย เราก็มั่นใจ ว่าเราหาคู่ชีวิตอยู่แล้ว ก็ยืนยันไปว่าตั้งใจจะหาความรักจริงๆ

ถึงตรงนี้ก็ได้มีการขอไลน์กัน แล้วฝ่ายหญิงก็โทรฯ มาหาทันที มีการพูดคุย สอบถามเรื่องส่วนตัว ตนก็บอกว่าตนมีลูกแล้ว ถามเรื่องครอบครัว ถามชีวิตส่วนตัว ทำความรู้จักกันตามปกติ และบอกว่าเดี๋ยวมีเวลาค่อยมาเจอหน้ากันก็ได้

หลังจากโทรฯ คุยกันคืนนั้น วันต่อมาเขาก็บอกว่า เขาก็มาเจอ เขาขับรถมาหา ตนไปรับที่สนามบิน ตอนมาถึงก็ดึกแล้ว จึงบอกว่างั้นไปที่บ้านของแบงค์ดีกว่า เขาก็ตกลง ไปนอนและมีสัมพันธ์กัน จากนั้นก็ตกลงว่าจะคบหาเป็นแฟนกันแน่นอน ตนบอกตั้งแต่เจอกันครั้งแรก ว่าตนต้องสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน และไม่ชอบคนเซ็กซ์จัด ตอนมาเจอกันเขาก็คุยกับเราถูกคอเรื่องไปทำบุญ สร้างพระ หลังตกลงคบหาเป็นแฟนกัน เขาเอาเสื้อผ้ามาไว้ที่ห้องตน 3-4 ชุด

ระหว่างที่คบกัน ก็ไปมาหาสู่กัน เขามาบ้านเรา เราไปบ้านเขา ไปเจอแม่เขา ทุกอย่างราบรื่นทุกอย่าง จนมามีปัญหาแปลกๆ ครั้งแรก คือเราโทรฯ ไปหาเขาไม่รับสาย แล้วสักพักเขาก็ปิดเครื่อง กว่าจะโทรฯ กลับมาก็เที่ยงคืน ร้องห่มร้องไห้ ว่าแบตหมด ทำไมเราไม่เข้าใจเขา เขาเข้าบ้านไม่ได้ ต้องไปชาร์จแบตเตอรี่ที่บ้านเพื่อนบ้านถึงจะเปิดมือถือได้ แต่มารู้ทีหลังว่าครั้งนั้นเขาโกหก แต่เลือกที่จะมองผ่าน เพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

ต่อมา ฝ่ายหญิงบอกว่า จะให้แหวนทองเรา 1 วง บอกว่าเป็นแหวนประจำครอบครัว หัวแหวนเป็นพลอยสีชมพู แต่เอาไปให้ช่างเป่าขยายไซซ์ พลอยกลับกลายเป็นสีเทาๆ จะให้ทองอีก 50 สตางค์ แล้วบอกว่าจะเพิ่มเป็นอีก 1 บาท ใจตนไม่อยากได้ ตอนแรกก็ปฏิเสธไป แต่เขาไปพูดต่อหน้าคนขายทองว่า “จะอายทำไม เมียซื้อให้” เราก็เลยบอกว่าแล้วแต่เขาก็ได้

ปรากฏว่าตอนจะซื้อทอง ฝ่ายหญิงไม่สแกนจ่ายให้ร้านเอง เขาโอนเงินให้เราแทน แล้วให้เราเป็นคนสแกนจ่ายร้านเอง ตนก็งงๆ ว่าทำไมต้องทำแบบนี้ แล้วเขาก็ใส่ทองให้เรา ทองที่เขาซื้อให้

ต่อมาเขาบอกว่า เขาไม่ได้ทำงานอะไร ตอนนี้เป็นนักให้คำปรึกษากฎหมาย อยากจะช่วยเราหารายได้ เราก็เลยให้เขาไปโพสต์รับซื้อรถมือสอง เพราะเราทำงานเป็นนายหน้าขายรถ ซื้อมาขายไปอยู่แล้ว ก็มีการดีลรถมาหลายคัน เขาชอบรถวอลโว่ ก็เก็บไว้ใช้ ไม่ยอมขายสักที ต่อมาเรามีเรื่องที่ขอยืมเงินเขา แต่พอได้เงินจากการขายรถมา เราก็โอนเงินคืนเขาไปหมด แล้วพอได้ค่าคอมมิสชั่นมา เราก็โอนให้เขาเป็นคนเก็บเงิน

อยู่ดีๆ มาเกิดปัญหาตอนที่ตนไปขอเงินจากเขา 5,000 บาท จะเอาไปซื้อชุดนักเรียนให้ลูก เขาก็โวยวายขึ้นมาทันที ถามว่าจะเอาเงินไปทำไมนักหนา ถ้าจะซื้อชุดนักเรียนจริงๆ ก็เอาบิลมาเบิก ตนถามว่าแล้วตกลงรถวอลโว่คันนี้จะเอายังไง ถ้าขายก็ต้องเอากำไรมาแบ่งกันนะ เขาก็ยิ่งไม่พอใจ โยนเอกสารเราลงจากรถ พอเราลงมาเก็บเอกสาร เขาก็แจ้งตำรวจสายตรวจมาจับเรา บอกว่าเราวิ่งราวเอกสาร ตอนนั้นตนงงมาก ว่าเขาเป็นอะไร เขาบอกว่าไม่รู้จักเรา เราเป็นโจร ให้จับเราไปเลย

ตอนนั้นตนคิดว่าไม่เอาแล้วกับผู้หญิงคนนี้ ขอเลิก ขอให้เขาเอาของมาคืนเรา เขาก็กลับมาขอร้องอ้อนวอน บอกว่ารักเรามาก ขอกลับมาอยู่ด้วยกันได้ไหม เราก็บอกว่าไม่เอาแล้ว เขาก็ยังรบเร้าขอมานอนกับเรา แต่เราไม่กล้านอนกับเขาแล้ว เลยอาศัยจังหวะเขาอาบน้ำ แอบหนีออกมาจากห้องตัวเอง กลับมาอีกทีคือของพังทั้งห้อง เขาเอามีดมากรีดทำลายข้าวของหมดเลย เสื้อผ้า เครื่องใช้เราพังหมด เสียงดังสนั่นจนเจ้าของห้องโทรฯ ตามว่าทำไมห้องเราเสียงดังมาก เราบอกว่าเราไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว เจ้าของห้องเขาเลยไปดู

ปรากฏว่าพบสภาพฝ่ายหญิงนอนอยู่ที่พื้น เอาผ้าผูกคอตัวเอง แล้วปลายอีกด้านผูกไว้กับประตู กะว่าถ้าเรากลับห้องไปประตูจะดึงแล้วเขาจะรู้สึกตัวตื่น แต่เขาคงลืมว่าประตูมันเป็นแบบผลักเข้า ตอนผูกคอยังเซลฟี่ผูกคอตัวเองหลับตา ส่งให้แบงค์ เหมือนว่าตัวเองเสียชีวิต ซึ่งคนตายที่ไหนเซลฟี่ตัวเองส่งให้คนอื่น

วันรุ่งขึ้นเขาแจ้งความว่าเขาถูกทำร้ายร่างกาย ปากมีรอยแดง เราก็ถามว่าไปโดนอะไรมา เขาก็บอกว่าเราตบ เราก็งง ว่าไปตบตอนไหน เมื่อคืนตนไม่อยู่ห้อง แต่ตำรวจก็รับแจ้งความไปแล้ว เพราะมันเป็นระบบกล่าวหา เราก็ต้องไปเคลียร์ที่ สน. เป็นเรื่องวุ่นวาย

วันต่อมาเขาก็โทรฯ มาหาเราอีก  ถามว่า “ตัวเองอยู่ไหนอะ” เราก็งงว่าเขาเป็นอะไรอีก ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น งงว่าเขาเป็นคนสองบุคลิกหรือเปล่า บางวันดีก็ดี วันรุ่งขึ้นอยากอาละวาดก็อาละวาดขึ้นมา จนงงไปหมด แปลกไปหมด

สุดท้ายเขาก็มาขอโทษ มาสารภาพผิดทุกอย่าง ซื้อที่นอนมาคืน มาชวนคุยเรื่องบุญ บอกว่าเราคือคนที่เขาตามหามา 40 ปี เราก็เลยใจอ่อน ยอมกลับไปคบหากับเค้า เราบอกว่าอยากปลูกต้นไม้ เขาก็ไปหาต้นไม้มาลง

วันดีคืนดีก็ไปแจ้งความว่าเราฉ้อโกง หลอกมาลงทุนปลูกต้นไม้ ความเสียหาย 1 พันบาท ยักยอกตู้แอมป์กีตาร์ที่เขาซื้อให้ แจ้งความลักทรัพย์ (แหวนที่เขาให้) สารพัดจะทำ จนตนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว ต้องไปร้องเรียนกับทุกๆ ที่ เพราะทนพฤติกรรมนี้ไม่ไหวแล้ว

นายกองตรี ธนกฤต บอกว่า ที่เขาอ้างตัวเป็นผู้พิพากษาสมทบ จริงๆ แล้วไม่ใช่ เขาทำหน้าที่เป็นผู้ประนอม ทำหน้าที่เป็นผู้ประนีประนอมข้อพิพาทในศาล หลังรับการร้องเรียนจากนายแบงค์มา ก็ไปตรวจสอบอะไรต่างๆ พบว่ามีคดีต่างๆ ที่เขาไปแจ้งไว้จริงๆ แนะนำให้คุณแบงค์ไปเช็กที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติไว้หน่อยว่า ตัวเองมีคดีค้างอยู่เยอะน้อยแค่ไหน เพราะมันอาจจะส่งผลกระทบต่อเราในอนาคต

ส่วนทนายไพศาลบอกว่า เรื่องลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ผู้หญิงต้องไปพิสูจน์ให้ได้ว่าทรัพย์เป็นกรรมสิทธิ์ของเขา หากว่าถูกยักยอก ยักยอกอย่างไร แล้วคดีฉ้อโกงต้นไม้ ก็ไม่เข้าองค์ประกอบความผิด เพราะไปซื้อต้นไม้มาจริงๆ

ทนายไพศาลยังบอกอีกว่า สิ่งที่น่ากังวลในเรื่องนี้คือ การหาคู่ออนไลน์ มันต้องระวังมากๆ ไม่ใช่รู้จักกันวันเดียว คืนเดียว แล้วไปใช้ชีวิตด้วยกัน เราไม่รู้เลยว่าแต่ละคน ร้อยพ่อพันแม่ เขามีปัญหาอะไรมา ป่วยอะไรมา หรือมีคดีติดตัวมาหรือไม่ เรื่องนี้ในยุคนี้น่ากลัว ต้องระวังให้มาก