ร้อนแรงไม่มีพักทีเดียวสำหรับเรื่องราวของ เบียร์ ภัสรนันท์ หรือ เบียร์ เดอะวอยซ์ ที่กำลังเป็นที่สนใจของโซเชียลในขณะนี้ มีหลายเพจหลายคนขุดคุ้ยพฤติกรรมในอดีตของเธอออกมาให้โลกออนไลน์ต่อว่าอย่างมากมาย แม้สาวเบียร์จะขอโทษไปแล้วกับปมไปจูบแฟนชาวบ้าน แต่คนก็ยังคงอินและต่อว่าเธออยู่เนืองๆ ล่าสุดในงาน PAPER PLANES FLASH MOB ในวาระฉลองครบรอบ 1 ปี ทรงอย่างแบด ที่ทำให้วงของหนุ่มฮายดังเป็นพลุแตกนั้น หนุ่มฮายก็ได้ให้สัมภาษณ์ปมที่คนโยงว่าสาวเบียร์เป็นคนแย่งหนุ่มฮายมาจากแฟนเก่าอย่าง กิ๊กกี้ ทำให้ต้องเลิกรากัน โดยหนุ่มฮายเล่าว่า
“จริงๆ เรื่องราวมันสักประมาณ 6-7 ปีแล้ว มันนานมากจนผมจำดีเทลได้บางส่วน ณ วันนี้ผมกับแฟนเก่าคนนั้น ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่ ยังคุยในฐานะเพื่อน ตัวแฟนผมเองก็ยังติดต่องานกันอยู่ ก็คือจะทำงานร่วมกัน ติดต่องานหางานให้กัน พอเกิดข่าวขึ้นก็แอบเอ๊ะนิดนึงว่าทำไมเกิดข่าว เพราะว่าจริงๆ แล้วเราคุยกันตลอด ข่าวที่เกิดขึ้นก็มีส่วนที่มันถูกแต่ว่ามันมีส่วนที่ไม่ถูกอยู่ แต่ว่าปกติผมไม่ใช่คนโซเชียล แล้วการที่ผมออกมาพูดอะไรหรือความสัมพันธ์มันไม่ใช่ตัวผม ผมรู้สึกว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ผมมีการได้คุยกัน เหมือนเราทะเลาะกับเพื่อนหรือทะเลาะกับครอบครัว สิ่งที่เราทำก็คือ เราคุยกัน เพราะเรารู้สึกว่าการออกมาพูดหรืออะไรแบบนี้มันเหมือนเป็นการประกาศสงครามโซเชียล แล้วมันไม่จบ จะบอกว่าผมมีการคุยกันแล้ว ตั้ง 6-7 ปีที่แล้ว และจะบอกว่าข่าวบางส่วนมันไปเยอะ แต่ว่าผมแค่ไม่อยากออกมาแก้ต่างเพื่อให้ พี่นึกออกใช่ไหมข่าวบันเทิงเวลาเราออกมาแก้ต่าง มันคือการเปิดประเด็น ผมรู้สึกว่าผมไม่ค่อยซีเรียส ที่ผ่านมาแม้ว่าผมจะคบกับใคร เวลามีข่าวผมไม่เคยตอบโต้เลย ผมปล่อยให้มันเป็นไป ผมรู้สึกว่าคนที่เสพข่าวจริงๆ เขาจะไปติดตามดูว่าอะไรมันเกิดขึ้นตอนไหน ว่าง่ายๆ คือผมไม่ได้ซีเรียส”
“ที่เป็นเรื่องเก่า เหมือนเมื่อก่อนเลย ผมคบอยู่กับอีกคนหนึ่งแล้วก็โดนบูลลี่เรื่องหน้าตา ก็เลิกเล่นโซเชียลไปเลยนะ ผมรู้สึกว่าทำไมมันเกิดขึ้น มาเมนต์เขาไม่แม้แต่จะคิด หรือรอฟังความจากอีกฝ่ายเลย เขาเหมือนกับดูรายการมา เขาให้สัมภาษณ์แบบนี้แล้วก็เลือกที่จะเข้ามาด่าเลย แต่ว่าผมเป็นสไตล์นี้จริงๆ คือเลิกกับใคร จะคนดังไม่ดังไม่เคยออกมาพูดเลย เพราะว่าผมมีเป้าของผมคือใช้ชีวิต แล้วผมเชื่อว่าคนที่เสพข่าวจริงๆ เขาจะไม่ตัดสินเร็ว เขาจะดูเรื่องราว ผมว่าไทม์ไลน์ต่างๆ มีอยู่ในโซเชียลอยู่แล้ว เท่าที่ผมวิเคราะห์นะ ผมคิดว่าคนที่เสพข่าวมีจะมีสัก 2-3 ประเภท หนึ่งคือเสพเพื่อรับข่าวจริงๆ ก็คือข่าวจริงข่าวไม่จริง กับสองคือคนที่ไม่สนใครชนะฉันอยู่ข้างนั้น และคนแบบนี้มีมากกว่า การที่ผมออกไปพูดมันจะเป็นการฟีดเพื่อให้คอนเทนต์มันคงอยู่และให้คนสนุกไปเรื่อยๆ การที่พูดความจริงไม่ค่อยมีประโยชน์ หรือการไปแก้ต่างในข้อไหนก็ตาม ความรักทุกคนรู้อยู่แล้วว่ามันมีมุมหลากหลายที่แตกต่าง เราไม่ได้อยากจะออกมาพูดเพื่อให้สาวความยาวต่อความยืด มันเหมือนคนหนึ่งออกไปยืนหน้าบ้าน ทำไมแกทำกับฉันอย่างนี้ แล้วลองนึกภาพอีกคนหนึ่งที่เขาไม่ค่อยพูดอะไร เขาจะเดินออกไปหน้าบ้าน เพื่อจะไปตะโกนด่ากันให้ชาวบ้านมาตำหนิเราทำไม ผมคิดแบบนั้นนะ กับแฟนเก่าผมยังคุยกันอยู่ ล่าสุดผมยังไปเปลี่ยนโปรโมชั่นเบอร์ให้เขาอยู่เลย เมื่อไม่นานมานี้เลยนะ ผมก็เลยแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่อยากจะไปเปิดศึกอะไรไหม ก็ไม่”
ฮาย เล่าต่อว่า “ผมว่าน่าจะเป็นข่าวมาจากผลพวงอีกคนหนึ่ง คือคนอคติกับน้องเขาแล้ว การที่ผมจะออกไปแก้ต่างคือคนจะไม่ค่อยเชื่อ เพราะว่าน้องคนนั้นทำแบบนั้น ก็ต้องทำแบบนี้แหละ แล้วการที่ผมออกไปตอนนี้ไม่มีประโยชน์ แล้วที่สำคัญเรื่องมันผ่านมาแล้ว 6-7 ปี แล้ว มันนานมาก แล้วผมได้คุยกันหมดแล้ว เป็นเพื่อนกันแล้ว เป็นเพื่อนประเภทที่โทรกัน ไอจีก็ยังฟอล แล้วผมจะมาสร้างความอีกเพื่ออะไรมันไม่ใช่เรื่องของเรา มันไม่ใช่เรื่องของผมกับน้องเขาแล้ว มันเป็นเรื่องของคนอื่นแล้วที่อยากจะรู้ความจริง และจริงๆ มันเป็นเรื่องส่วนตัว ผมก็เลยอยากเก็บไว้ให้เป็นเรื่องส่วนตัวบ้าง และก็อันไหนที่ผมแสดงออกไปไม่โอเค แต่ยังไม่ได้แสดงออกไป ผมไม่ได้เล่นโซเชียลผมบอกก่อน ผมไม่เคยปฏิบัติว่าผมเป็นดารา และความสัมพันธ์ที่ผ่านมาอย่าคิดว่าการที่ผมเลิกกันกับใครเพราะคิดว่าคนนั้นคือดาราผมปฏิบัติทุกคนเท่ากัน ผมพูดกับทุกคนเสมอ เวลามีคนพูดว่าอยากจีบคนนี้ ก็จีบดิ พี่เขาเป็นดารา ผมจะบอกว่าไม่เกี่ยวหรอกคนทุกคนเท่ากัน เพราะฉะนั้นที่ผมจะบอกคือทุกความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นผมไม่เคยเลือกใครเพราะใครดังกว่า ผมบอกตรงๆ นะ เขาก็น่าจะรู้ว่าความรักของผมตั้งใจมาก ถ้านึกย้อนกลับไปผมตั้งใจมากๆ จำได้ว่าเราทำเต็มที่กันแล้วทั้งคู่ วันหนึ่งที่ต้องเลิกกัน ไม่มีเหตุผลใดนอกจากตัวเรา ผมว่าศิลปินไม่จำเป็นต้องตีแผ่เรื่องราวส่วนตัวขนาดนั้น ควรแก้ปัญหาให้ตรงเหตุถ้าเราทะเลาะกับใคร มีเรื่องกับใคร เราควรแก้กับเขา ไม่ใช่แค่มาขอโทษหน้ากล้อง ควรขอโทษต่อหน้าเขา และผมทำสิ่งนั้นแล้ว ปรับความเข้าใจ ได้คุยกันแล้ว มันจบแล้ว ให้สังเกตผมไม่เคยให้สัมภาษณ์เรื่องใครเลยแม้ผมจะโดนมาขนาดไหนก็ตาม”