เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ บช.น. พล.ต.ท.ภัครพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. เปิดเผยกรณี มีผู้ก่อเหตุเผาป้อมจราจรตำรวจ 6 จุด ได้แก่ ที่แยกสะพานควาย, แยกประดิพัทธิ์, บริเวณทางขึ้นทางด่วนระนอง, แยกราชประสงค์, แยกอุรุพงษ์ และแยกมิตรสัมพันธ์ เมื่อช่วงกลางดึกของคืนวันที่ 22 ต่อเนื่อง วันที่ 23 ก.ย ที่ผ่านมาว่า รูปแบบการก่อเหตุของกลุ่มที่ก่อความวุ่นวายอยู่ในขณะนี้ เน้นการเผาทำลายทรัพย์สิน ทางราชการ และของประชาชนในบริเวณใกล้เคียง หลังจากนั้นหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ โดยใช้พื้นที่แฟลตดินแดงหลบซ่อนตัว ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้มีปรับยุทธวิธี ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อระงับเหตุ ป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวาย และยังคงเน้น ปกป้องสถานที่ราชการ ไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ยังอยากไปยังกลุ่มผู้ก่อเหตุว่ามีจุดประสงค์ใด เนื่องจากทรัพย์ทางราชการที่เผาทำลาย ก็มาจากเงินภาษีของประชาชนทั้งสิ้น
ส่วนการก่อเหตุความรุนแรงในลักษณะนี้จะขยายวงกว้างออกไปหรือไม่ ส่วนตัวคิดว่าเป็นปกติของผู้ที่ก่อเหตุที่พยายามหาโอกาส ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะมียกระดับมาตรการทางกฎหมายให้เข้มข้นขึ้นต่อไป โดยการกระทำดังกล่าวอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบ หาตัวผู้กระทำผิด ซึ่งในช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีหารือร่วมกับ ผบ.ตร. ถึงเรื่องดังกล่าว ซึ่งภายหลังจากที่ลงพื้นที่แฟลตดินแดง เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนในแฟลต ส่วนหนึ่งประชาชนให้ความร่วมมือ ให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี สำหรับผลจากการเผาทำลายกล้องวงจรปิด สัญญาณไฟจราจร จนได้รับเสียหาย ยืนยันไม่กระทบกับการจราจร เนื่องจากสมัยก่อนยังไม่มีเทคโนโลยีก็สามารถดำเนินการได้
อีกด้าน ที่ศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปก.ตร.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องเผาป้อมจราจรตำรวจ 6 จุดแล้ว ก็ต้องปรับยุทธวิธีกันไป ต้องประเมินสถานการณ์ให้แม่นยำกว่านี้ เพราะจะเห็นว่ามีกระจายตัวยกระดับความรุนแรง ตำรวจต้องปรับยุทธวิธีการใช้กำลัง การบังคับใช้กฎหมาย และเรื่องการข่าว ตำรวจไม่ได้วิ่งตามม็อบ แต่เป็นผู้ก่อเหตุ ซึ่งอาจจะเป็นเส้นเบลอๆ ระหว่างม็อบกับผู้ที่ก่อเหตุ เพราะเขาต้องการให้เป็นแบบนั้น ซึ่งการกระทำแบบนี้ไม่ใช่อาชญากรทั่วไป จะเห็นว่าตั้งแต่ส.ค.ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน มีจับกุมผู้ก่อเหตุกว่า 400 ราย ทุกครั้งที่จับเขาจะมีความรู้เทคนิคข้อกฎหมายต่างๆ มากขึ้น เห็นจากมีฝ่ายกฎหมายที่พร้อมปฏิบัติงาน 24 ชั่วโมง พอมีคนโดนจับจะมาทันที ตอนนี้ได้พูดคุยกับฝ่ายสอบสวนว่า การบังคับใช้กฎหมายให้ดูเรื่องฐานความผิดอื่นๆ ถ้ามีองค์ประกอบความผิดอื่น เช่น อั้งยี่ ซ่องโจร ให้ไปรวบรวมพยานหลักฐานมา
เมื่อถามว่ากลุ่มที่ก่อเหตุเผาป้อมจราจรมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเดิมๆ หรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า เขาลงมือกระทำเพื่อก่อให้เกิดความวุ่นวาย กระทบต่อภาพลักษณ์ในเรื่องรักษาความปลอดภัย ความมั่นคง กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกพี่น้องประชาชน และหวังผลทางการเมือง ส่วนจะมีพัฒนาการที่รุนแรงกว่านี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการจัดการของตำรวจ ซึ่งต้องจัดการให้ได้
