เมื่อวันที่ 27 พ.ย.66 ที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ “พอลลีน” พาลินี งามพริ้ง หนึ่งในผู้ประกาศลงชิงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ที่จะเลือกตั้งวันที่ 8 ก.พ.67 ได้มาสอบถามรายละเอียด การเลือกตั้งสภากรรมการ
ทั้งนี้ พอลลีน ได้สอบถามความชัดเจนในข้อบังคับลักษณะปกครอง ข้อที่ 30.3 วรรค 2 ระบุว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนจะต้องได้รับการเสนอชื่อจากสมาชิกอย่างน้อย 3 ราย โดยสมาชิก 1 รายสามารถเสนอชื่อผู้สมัครได้เพียง 1 รายต่อ 1 ตำแหน่ง หากสมาชิกรายใดเสนอชื่อผู้สมัครมากกว่า 1 ราย ให้ถือว่าการเสนอชื่อผู้สมัครสมาชิกรายนั้นตกไป ซึ่งการจะส่งทีมลงสมัครนั้นต้องใช้ 1 นายกสมาคม, 5 อุปนายกสมาคม และ 13 กรรมการกลาง ตามความเข้าใจต้องใช้ถึง 39 สโมสรในการเสนอชื่อ 1 ทีม
เรื่องนี้ ฝ่ายกฎหมายสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ระบุว่าเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ชี้แจงและจะแจ้งให้กระจ่างอีกครั้ง พาลินี ยังไม่ยื่นใบสมัคร
พอลลีน กล่าวด้วยว่า ระเบียบข้อนี้ผิดหลักพื้นฐาน ถ้าหากมีสโมสรรับรองมากขนาดนี้เท่ากับว่ามีโอกาสเป็นผู้ชนะเลือกตั้งไปแล้ว ทั้งนี้ต้องรอกกต.ตีความ ข้อกังวลคือถ้าตอบช้าจะเสียเวลาในการรับสมัครเลือกตั้ง ที่เปิดถึงวันที่ 9 ธ.ค.เท่านั้น ดังนั้นควรต้องได้ความชัดเจนใน 1-2 วันนี้
ส่วนเรื่องทีมงานนั้น พาลินี เผยว่า ที่เล็งเอาไว้อย่างที่เป็นข่าวคือได้ติดต่อกับ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคก้าวไกล เอาไว้ เพราะอยากได้คนที่อยู่นอกวงการ ไม่อยากให้มองเกี่ยวกับการเมืองแต่อยากให้มองว่าอยากได้คนรักฟุตบอล อยากเห็นการเปลี่ยนแปลง และนายวิโรจน์ก็มีความรู้ด้านฟุตบอลในมุมแฟนบอลด้วย อยากได้คนที่มีความหลากหลายและไม่ใช่พรรคพวกกันอย่างเดียว จะได้คอยเตือนเวลาทำผิด ส่วนอีกคนที่คุยไว้ก็คือ นายพิพัฒน์ วราเมธพิพัฒน์ เจ้าของฉายาพ่อใหญ่เมืองทอง เป็นคนที่เก่งเรื่องการตลาด จะเข้ามาเพื่อขยายตลาดและสปอนเซอร์ หาเงินเข้าสมาคม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่ พอลลีน กำลังเข้ามาสอบถามที่สมาคมฯ นั้น “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้เดินทางมาที่สมาคมฯ และให้กำลังใจ รวมทั้งแสดงความยินดีกับ พอลลีน ที่จะมาพัฒนาวงการบอลไทย แต่ต้องเอาชนะใจสโมสรให้ได้ ส่วนตัวใครเข้ามาก็พร้อมสนับสนุนทั้งหมด พอลลีน ก็รู้จักฟุตบอลดี มีประสบการณ์
เมื่อถามความตั้งใจว่าจะลงสมัครอีกสมัยหรือไม่นั้น บิ๊กอ๊อด ที่เคยประกาศวางมือ กล่าวว่า “จนถึงตอนนี้ยังรู้สึกเฉยๆ มีคนอยากให้ผมทำต่อเพราะเป็นห่วงเรื่องความเป็นกลาง และสโมสรเองยังหนักใจเรื่องนี้อยู่ แต่ผมยังไม่คิดอะไรเลย และยังไม่บอกอะไรทั้งนั้น อะไรที่ตั้งใจไว้แล้วไม่จำเป็นต้องบอกให้รู้ เดี๋ยวทุกคนก็จะรู้เอง มัวแต่พูดว่าจะลง หรือไม่ลง มันเหมือนทิ่มเข้าทิ่มออก ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ให้มันเป็นไปตามกาลเทศะแล้วกัน”