เมื่อวันที่ 17 พ.ย. นายภาคภูมิ ตั้งสง่า หรือดีเจภูมิ นำ น.ส.เพ็ญพร วงศ์นพรัตน์เลิศ หุ้นส่วนบริษัทรองเท้าของดีเจภูมิ และนายวรินทร มิชาส์ ผู้เสียหาย เข้าร้องขอความช่วยเหลือกับ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ คล้ายคลึง ผบก.สอท.1 เนื่องจากทั้งสองถูกหลอกขายนาฬิกาหรู สูญเสียเงินมูลค่าไปรวมทั้งสิ้น 3 ล้านบาท
ดีเจภูมิ ระบุว่า เนื่องจาก น.ส.เพ็ญพร ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของบริษัท ต้องการจะลงทุนซื้อนาฬิกาหรูรุ่นเดียวกับที่ตนใส่ ซึ่งนาฬิการุ่นนี้ปกติแล้วราคาอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านกว่าบาท แต่ปรากฏว่ามีเพื่อนของตน ส่งมาว่า มีเพจหนึ่งขายนาฬิการุ่นเดียวกันในราคาล้านกว่าบาท ชื่อเพจ Aaron Rolex Daytona Loki 2019 ซึ่งตอนนี้เพจดังกล่าวปิดหนีไปแล้ว ตนเห็นว่าราคาดี จึงส่งเพจนี้ให้ น.ส.เพ็ญพร ดู เพื่อนำไปติดต่อซื้อขายนาฬิกา แต่กลายเป็นว่า เป็นเพจหลอกขายนาฬิกาที่สร้างความเสียหายนับล้านกว่าบาท และยังมีนายวรินทร เป็นผู้เสียหายอีกราย จึงพากันเข้ามาแจ้งความให้ตำรวจไซเบอร์ดำเนินคดีในเรื่องนี้
ด้าน น.ส.เพ็ญพร กล่าวว่า เมื่อตนได้ติดต่อไปในเพจดังกล่าว ทางเพจได้แจ้งว่าให้แอดไลน์ ตนก็ดำเนินการแอดไลน์ไป หลังจากนั้นทางฝั่งผู้ขาย ก็ได้โทรฯ มาหาตน ทำให้ตนเชื่อใจว่าน่าจะเป็นของจริง แต่เนื่องจากติดขัดทางด้านภาษา เพราะฝั่งนู้นพูดจีนปนอังกฤษ เลยเปลี่ยนมาเป็นการแชตทางข้อความแทน ก่อนช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตนกับฝั่งผู้ขายจึงได้นัดหมายที่จะมาดูนาฬิกาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งทางฝั่งผู้ขายอ้างว่า เนื่องจากไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ เลยจะส่งตัวแทนนำนาฬิกามาให้ดู เมื่อมาถึงตามที่นัดหมาย ตนก็ได้พบกับคนที่นำนาฬิกามาให้ ซึ่งภายหลังทราบว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาตัวจริง โดยตนกับเจ้าของนาฬิกาก็ได้ตรวจเช็กนาฬิกาแล้วพบว่าเป็นนาฬิกาจริง ไม่ใช่นาฬิกาปลอม จึงพิมพ์ไปยังผู้ขายว่าตกลงที่จะซื้อ ทางฝั่งผู้ขายจึงแจ้งมาว่า ขอให้โอนเงินเป็นสกุลคริปโตเคอร์เรนซีแทน เพราะเนื่องจากการโอนเงินระหว่างประเทศมีข้อจำกัดหลายอย่าง เลยต้องการให้โอนเป็นสกุลดิจิทัลจะดีกว่า ตนจึงโอนเงินสกุลดิจิทัลไปประมาณ 40,000 USDT หรือตีเป็นเงินไทยประมาณ 1,500,000 บาท ปรากฏหลังจากโอนเสร็จ ฝั่งผู้ที่นำนาฬิกามาให้ดู กลับบอกตนว่า เงินยังไม่เข้า และสอบถามตนว่าจะนำนาฬิกาไปที่ฮ่องกงยังไง เลยทำให้ตนเกิดข้อสงสัย เพราะตนต้องการซื้อนาฬิกามาไว้เป็นของตัวเอง ไม่ได้มีหน้าที่รับหิ้วนาฬิกาให้ใคร จึงทำให้เข้าใจในทันทีว่า ตอนนี้ตนกำลังโดนหลอกซื้อขายนาฬิกา
ทางดีเจภูมิ กล่าวเสริมว่า มิจฉาชีพซึ่งน่าจะอยู่ที่ฮ่องกง ได้ดำเนินการหลอกทั้งฝั่งของ น.ส.เพ็ญพร และเจ้าของนาฬิกาตัวจริง โดยหลอก น.ส.เพ็ญพร ว่า จะให้คนนำนาฬิกามาให้ดู ก่อนจะโอนชำระมาที่มิจฉาชีพ ส่วนเจ้าของนาฬิกาตัวจริงก็ถูกหลอกว่า ให้นำนาฬิกามาให้ น.ส.เพ็ญพร ดู ซึ่งอาจจะอ้างว่า น.ส.เพ็ญพร เป็นเพื่อนกับมิจฉาชีพ หากพึงพอใจ มิจฉาชีพจะโอนเงินซื้อนาฬิกาให้แก่เจ้าของนาฬิกาตัวจริง หลังจากนั้นตนกับเจ้าของนาฬิกาจึงพากันไปแจ้งความดำเนินคดี ที่ สน.ปทุมวัน ซึ่งเบื้องต้นเจ้าของนาฬิกาเองก็ปฏิเสธว่า ไม่รู้หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับมิจฉาชีพคนนี้แต่อย่างใด แต่เพื่อความสบายใจ และอยากให้สามารถติดตามนำเงินกลับมา เลยเข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจไซเบอร์เพิ่มเติม
ด้านนายวรินทร มิชาส์ ผู้เสียหายอีกรายที่ถูกหลอกในลักษณะเดียวกัน เล่าว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 13 กันยายน ที่ผ่านมา ตนสนใจจะหาซื้อนาฬิกาหรูโรเล็กซ์ จึงไปหาสินค้าผ่านทางมาร์เก็ตเพลส Facebook เจอ Account คนจีนชื่อนาย Liam ได้นำนาฬิกาหรูทึ่ตนต้องการมาประกาศขาย 1 เรือน ในราคา 1,100,000 บาท มีการคุยตกลงราคาผ่านทาง LINE ต่อมานาย Liam ได้ลดราคานาฬิกาให้เหลือเพียง 820,000 บาท ตนจึงตกลงที่จะซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าว
จากนั้นวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา นาย Liam ได้แจ้งให้ตนเดินทางไปรับนาฬิกาหรูที่ร้านตรวจสอบนาฬิกาแห่งหนึ่งที่เซ็นทรัลเวิลด์ แต่เมื่อไปถึงกลับพบชายชาวจีนชื่อ MR.LONGTIAN ZHANG ได้เดินทางมาส่งนาฬิกาเรือนดังกล่าวแทน ตนตรวจสอบสินค้าแล้วพบว่าเป็นของแท้ จึงสอบถามกับคนส่งนาฬิกาว่า เลขบัญชีคริปโตปลายทางที่ต้องโอนเงินไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ซึ่งคนที่มาส่งนาฬิกาพยักหน้าบอกว่าถูกต้อง ตนจึงตัดสินใจโอนเงินผ่านบัญชีคริปโตเคอร์เรนซี USDT จำนวน 22,990 เหรียญ ตีเป็นเงินไทยจำนวน 820,000 บาท แต่เมื่อโอนเสร็จสิ้น MR.LONGTIAN กลับบอกว่า เงินยังไม่เข้าบัญชี จึงไม่ยอมส่งมอบนาฬิกาให้ตน จึงเกิดการโต้เถียงกันอยู่พักใหญ่ แต่ไม่สามารถสื่อสารให้เข้าใจได้ เพราะอีกฝ่ายพูดแต่ภาษาจีน
เมื่อตนรู้ว่าถูกหลอก จึงตัดสินใจโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ สน.ปทุมวัน ให้มายังที่เกิดเหตุ จากนั้นไม่นานประมาณ 10 นาที มีหญิงชาวไทยซึ่งเป็นแฟนกับ MR.LONGTIAN ได้เข้ามาโวยวายใส่ตน ถามว่าไม่รู้เหรอว่าเลขบัญชีนี้เป็นมิจฉาชีพ เมื่อเจรจาไม่รู้เรื่อง ตนได้รับความเสียหาย จึงเดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.ปทุมวัน ซึ่งขณะนี้ผ่านมากกว่าสองเดือนแล้ว พนักงานสอบสวนมีเพียงการสอบปากคำตนกับคู่กรณีไปแล้วเท่านั้น จึงรู้สึกว่าคดีความยังไม่คืบหน้า เป็นเหตุที่ต้องมาร้องเรียนพร้อมกับ น.ส.เพ็ญพร ที่ บก.สอท.1 ในวันนี้ เพื่อให้ตำรวจไซเบอร์รับคดีนี้มาดำเนินการ ไม่อยากให้มีเหยื่อรายอื่นถูกหลอกแบบนี้อีก
ขณะที่ พล.ต.ต.ชัชปัณฑกาณฑ์ ระบุว่า หลังจากนี้จะให้ทั้ง 2 เข้าให้ปากคำกับทีมพนักงานสอบสวน สอท.1 เพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนทางคดี เรื่องนี้ทางตำรวจท้องที่ ได้รับแจ้งความดำเนินการทางด้านคดีแล้ว ซึ่งตำรวจ สอท.1 จะลงไปตรวจดูในเรื่องทางเทคนิคและเส้นทางการเงินดิจิทัลเพิ่มเติม คู่ขนานกันไปกับตำรวจท้องที่ ยอมรับว่าเงินสกุลดิจิทัลค่อนข้างจะตามคืนได้ยาก แต่ทางตำรวจจะเร่งวิเคราะห์และหาทางเพื่อให้สามารถติดตามเงินคืน และระบุตัวคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้