วันเสาร์นี้ เสียงเพลง “สีงามอร่ามหรูชมพูฟ้า” และ “ม่วงทองผ่องอำไพ” จะดังกระหึ่มทั่วสนามศุภชลาศัย และทั้งประเทศไทยอีกครั้ง
เพราะคือวันชิงชนะเลิศของฟุตบอล “จตุรมิตรสามัคคี” ครั้งที่ 30
“ชมพู-ฟ้า” สวนกุหลาบวิทยาลัย ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศด้วยการชนะ 3 นัดรวดในรอบแรก
ประเดิมด้วยการเฉือน กรุงเทพคริสเตียน 2-1 ต่อด้วยชนะ อัสสัมชัญ 2-0 และปิดท้ายด้วยการชนะคู่รักคู่แค้น เทพศิรินทร์ 2-0 เก็บได้ 9 คะแนนเต็ม
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ชัยชนะครั้งสุดท้าย ในบอลจตุรมิตร รอบแรกของ “ชมพู-ฟ้า” คือตั้งแต่ 11 ปีที่แล้ว หรือปี พ.ศ. 2555
หลังจากนั้น “ลูกสวน” ลงเล่นรอบแรก “จตุรมิตร” อีก 9 นัด ในปี 2557, 2560 และ 2562 ไม่ชนะใครเลย แพ้ 6 เสมอ 3 นัด
ต้องไปชิงอันดับ 3 ทุกครั้ง
นี่จึงเป็นการเข้าชิงจตุรมิตร ครั้งแรกในรอบ 11 ปี
และเป็นการลุ้น “แชมป์เดี่ยว” ครั้งแรก ในรอบ 36 ปีเต็ม
ต่างจาก “ชงโคสีม่วง” กรุงเทพคริสเตียน ที่เข้าชิงจตุรมิตร มาทุกครั้ง นับตั้งแต่ปี 2540
หรือว่าตลอด 26 ปีที่ผ่านมา
แต่ครั้งนี้ พวกเขาที่ต้องลุ้นจนถึงนาทีสุดท้าย เพราะประเดิมด้วยการแพ้ สวนกุหลาบ 1-2 ต่อด้วย เสมอ เทพศิรินทร์ 0-0
นัดสุดท้าย ต้องชนะ อัสสัมชัญ สถานเดียว พร้อมลุ้นให้อีกคู่ สวนกุหลาบ ชนะ เทพศิรินทร์ ด้วย
คริสเตียน ทำงานของพวกเขาสำเร็จ ด้วยการเอาชนะ อัสสัมชัญ 2-0
ขณะที่อีกคู่ก็เป็นใจ สวนกุหลาบ ยังช่วยชนะ เทพศิรินทร์ 2-0 เช่นกัน
ทำให้ “คริสเตียน” กับ “เด็กเทพ” มี 4 คะแนนเท่ากัน และเป็น “ม่วงทอง” ที่เข้าชิงด้วยประตูได้เสียที่ดีกว่า
ปล่อยให้ “แชมป์เก่า” เทพศิรินทร์ ต้องไปชิงอันดับ 3 กับ อัสสัมชัญ
แม้จะได้ชิงมาตลอด แต่ คริสเตียน ก็ไม่ได้ “แชมป์เดี่ยว” มานานถึง 14 ปี
นี่จึงเป็นเกมที่มีความหมายต่อพวกเขาสุดๆ เช่นกัน
ว่ากันว่า ฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศ อะไรก็เกิดขึ้นได้ แม้ สวนกุหลาบ จะเคยชนะ คริสเตียน ในเกมเปิดสนาม ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าพวกเขาจะชนะได้อีก
สวนกุหลาบวิทยาลัย
“เด็กสวน” ชุดนี้ คุมทีมโดย “เจ้าอ๋อ” ศักดา เจิมดี อดีตมิดฟิลด์ขาลุยทีมชาติไทย
ศักดา ที่เพิ่งสูญเสียคุณยายก่อนเตะนัดสุดท้ายของรอบแรกกับ เทพศิรินทร์ ทำทีมออกมาได้เหมือนสไตล์การเล่นของตัวเองแบบเป๊ะๆ
เพราะนักบอลสวนชุดนี้ เล่นหนัก เด็ดขาด กล้าเลี้ยง กล้าเล่น กล้าลุย
และ “ใจสู้” เหมือนกับ “โค้ชอ๋อ” ตอนเป็นนักเตะไม่มีผิด
นักเตะที่น่าสนใจของ สวนกุหลาบ มีหลายคน ไล่ตั้งแต่ผู้รักษาประตู กวิน พิทักษ์สาลี
เขาถูกค้นพบโดย วิรัช วังจันทร์ อดีตโกลสวนกุหลาบ และทีมชาติไทย อีกทั้งยังได้โค้ชประตูโดยเฉพาะ มาฝึกฝนจนเหนียวหนึบ
แถมยังเซฟจุดโทษในเกมแรกกับ คริสเตียน ที่เป็นจุดเปลี่ยนของเกมนั้นด้วย
แดนหลังมี คุณากร สุวรรณกุมาร เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ เป็นตัวหลัก ขณะที่แดนกลางนำโดย อดินันทร์ เอนกลาง กัปตันทีม และ ภูวดล ไทยเจริญ เบอร์ 8 ขาลุย
เกมรุกทีเด็ดคือจอมเทคนิค เจ้าของเบอร์ 10 อย่าง เสฏฐวุฒิ พงษ์จิตสุภาพ ที่เห็นแล้วนึกถึง “กุน” อเกวโร
และ “เจ้าพี” พีรธัช แพรพันธ์ ลูกชายของ มนตรี แพรพันธ์ อดีตทีมชาติ
ขณะที่ขุมกำลังสำรองยังมทีเด็ดอย่าง โชคชัย โต๊ะยะเล ปีกตัวจี๊ด ที่ลงมาเปลี่ยนเกมได้ตลอดอีกคน
กรุงเทพคริสเตียน
ด้าน คริสเตียน คุมทีมโดย ธนพัต ณ ท่าเรือ อดีตนักเตะดีกรีทีมชาติเช่นกัน
ตัวผู้เล่นของ “ชงโคสีม่วงทอง” ชุดนี้ถือว่าอุดมไปด้วยแข้งดาวรุ่เกรด A ของเมืองไทยทั้งสิ้น
ไล่ตั้งแต่กองหลังร่างโย่งอย่าง วีชั่น อินอร่าม ที่มาทรงเดียวกับ โชคทวี พรหมรัตน์ รุ่นพี่โรงเรียน ไม่มีผิด
แดนกลางมีห้องเครื่องสำคัญที่โดดเด่นก็คือ “วอดก้า” พชร วังสวัสดิ์ ลูกชายของ วรวุฒิ วังสวัสดิ์ อดีตทีมชาติ ที่เป็นโค้ชของเทพศิรินทร์
คอยประสานงานกับ จักรรินทร์ แก้มพรหม ลูกชายของ จักรพันธ์ แก้มพรหม ที่ถอดแบบมาจากคุณพ่อเป๊ะ
อีกยังมี “กาก้า” พิชญะ คงศรี กองกลางดีกรีทีมชาติไทยยู-17 ชุดชิงแชมป์เอเชีย ซึ่งเป็น ลูกชายของ พิชัย คงศรี อดีตกองหน้าทีมชาติไทย
จุดเด่นของพวกเขาคือทีมเวิร์ก และเทคนิคของนักเตะ ช่วยให้ครองเกมเหนือกว่าคู่แข่งได้ตลอด
ที่สำคัญอย่าลืมว่า คริสเตียน ในทัวร์นาเมนต์นี้ดีขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากแพ้ มาเสมอ และชนะ
ความมั่นใจจึงกำลังเต็มเปี่ยม พร้อมพุ่งสู่จุดหมายเต็มที่
“จตุรมิตร” นัดชิงชนะเลิศครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของศักดิ์ศรี หรือความภาคภูมิใจของทั้ง 2 สถาบันเท่านั้น
แต่มันยังเป็นเกมที่น่าสนใจ ที่จะใส่กันเดือดชนิดไม่มีใครยอมใคร
และให้จับตาดูกันดีๆ เพราะอาจจะมีบางคนก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมชาติไทยในอนาคตก็เป็นได้.
เครดิตภาพจากเพจ: สมาคมศิษย์เก่ากรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย, SK Innovation Gallery, ข่าวกีฬาเดลินิวส์