จากกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จำกัด ซอย 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ในช่วงเช้ามืดวันที่ 5 ก.ค. ก่อนที่ต่อมาจะเกิดการระเบิดอย่างรุนแรง ส่งผลให้บ้านเรือนในละแวกใกล้เคียงได้รับความเสีย จนต้องสั่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยทางจังหวัดได้ตั้งศูนย์อพยพช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งหมด 8 จุด ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 6 ก.ค. พล.ต.ท.อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 ปล่อยแถวตำรวจออกตรวจตราพื้นที่เฝ้าระวังทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนที่อพยพไปอยู่ที่ศูนย์พักพิง หลังจาก จ.สมุทรปราการ ออกประกาศให้พี่น้องประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในรัศมี 5 ก.ม.ไปอยู่ที่ศูนย์อพยพที่ทางจังหวัดได้จัดเตรียมเอาไว้ไห้เพื่อความปลอดภัย ทำให้ประชาชนที่อยู่ในรัศมี 5 ก.ม.ต่างพากันไปพักอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพกันทั้งหมด กำลังเจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มความเข้มในการตรวจตราพื้นที่ป้องกันทรัพย์สินของประชาชน โดยทาง ผบ.ตร.ได้มอบหน้ากากป้องกันสารเคมีจำนวน 150 ชิ้น มามอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกตรวจพื้นที่ได้สวมใส่เพื่อป้องกันตัวเอง

พล.ต.ท.อำพล เปิดเผยว่า ตำรวจจะดูแลความปลอดภัยของบ้านเรือนประชาชนที่อพยพไปพักอาศัยอยู่ที่ศูนย์อพยพทั้ง 8 จุด โดยใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลในพื้นที่รัศมี 5 กม. ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่สั่งการณ์ให้ดูแลอย่างดี และเมื่อคืนที่ผ่านมา ได้ระดมสายตรวจระดมรถตรวจพื้นที่ ซึ่งโชคดีที่ยังไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่จะทำเต็มที่เพื่อให้ประชาชนที่เดือดร้อนอยู่แล้วได้อุ่นใจ จนกว่าศูนย์บังคับบัญชาของจังหวัดจะอนุญาตให้อพยพคนกลับเข้ามาไปอยู่ที่บ้านได้ โดยตำรวจจะจัดเตรียมรถตู้เอาไว้คอยให้บริการ และจะได้ตรวจสอบกันต่อไปว่าใครได้รับความเสียหายมากน้อยแค่ไหน

ผบช.ภ.1 กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายเดินทางเข้ามาร้องทุกข์ในเรื่องความเสียหายหรือบาดเจ็บประมาณ 177 รายแล้ว สอบปากคำไปแล้ว 173 รายแล้ว ส่วนความเสียหายนั้น กำลังประเมินอยู่ ขณะนี้ก็มีการสอบปากคำผู้จัดการโรงงานที่เกิดเหตุแล้ว เพราะต้องมาดูว่าจุดต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันเกิดตรงไหนและมีอะไรบ้าง เราได้ข้อมูลจากผู้จัดการว่ามีสารเคมีอยู่ประมาณ 16,000 ลิตร ขณะเกิดเหตุ ส่วนในเรื่องอื่น ๆ ก็คงต้องรอการสอบสวนอีกครั้ง

ส่วนบรรยากาศที่ศูนย์อพยพ โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ นายชุมพร รังรงทอง อายุ 59 ปี ผอ. โรงเรียนเตรียมปริญญานุสรณ์ กล่าวว่า สำหรับศูนย์อพยพ แห่งนี้ ปัจจุบัน มียอดผู้ได้รับผลกระทบลงทะเบียนเข้ามาขอความช่วยเหลือประมาณ 350 คน แบ่งเป็นผู้อพยพพักค้างคืน จำนวน 250 คน และ อีกประมาณ 100 คน เป็นผู้อพยพชั่วคราวไม่พักค้าง ซึ่งในส่วนของการอำนวยตวามสะดวกเบื้องต้นมีการจัดเตรียมห้องพักไว้จำนวน 25 ห้องโดยจะแบ่งเป็นครอบครัวละ 1 ห้อง อยู่ได้ประมาณ 10 คน เพื่อความปลอดภัยตามมาตรการควบคุมโควิด รวมถึงมีการตั้งครัวพระราชทาน เพื่อช่วยเหลือเรื่องอาหาร น้ำดื่ม นอกจากนี้ที่ศูนย์อพยพแห่งนี้ยังได้รับความช่วยเหลือจากทางหน่วยงานสาธารณสุข จัดส่งเจ้าหน้าที่มาตั้งจุดให้บริการตรวจคัดกรองโควิด อีกด้วย

ด้าน นางสวาท สร้อยฉิม อายุ 63 ปี อาชีพแม่บ้าน หนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบ และเข้าพักพิงอยู่ในศูนย์อพยพแห่งนี้กล่าวว่า สภาพจิตใจตอนนี้ดีขึ้นมาก ส่วนตัวบ้านเรือนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพียงแต่บ้านพักตั้งอยู่ในรัศมี 1 กิโลเมตรจากจุดเกิดเหตุ ตนและคนในครอบครัวส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็กและคนชรา กว่า 10 ชีวิต จึงต้องอพยพมาพักอาศัยอยู่ที่ศูนย์ดังกล่าวเพื่อความปลอดภัย ซึ่งต้องขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน รวมถึงพลเมืองดีต่างๆ ที่คอยให้การช่วยเหลือดูแลเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหลังจากนี้ไม่นาน ตนและครอบครัวน่าจะกลับเข้าไปใช้ชีวิตที่บ้านพักได้ตามปกติ ส่วนเรื่องที่จะเป็นกังวลก็คงมีเพียงแค่เรื่องการสารเคมีตกค้าง เพราะเกรงจะได้รับผลกระทบด้านสุขภาพในระยะยาว

“ตนอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวมาตั้งแต่เกิด ในอดีตเมื่อประมาณ 30 ปี ก่อนเคยเกิดเหตุไฟไหม่โรงงานผลิตโฟมลักษณะเดียวกันนี้มาแล้ว 1 ครั้ง แต่ไม่รุนแรงหนักเท่าเหตุการณ์ล่าสุดนี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไม่ทันได้คาดคิดว่า จะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นมา พร้อมยอมรับว่าที่ผ่านมาไม่เคยทราบมาก่อนว่าภายในโรงงานต่างๆเหล่านี้มีการกักเก็บสารเคมีอันตรายใดๆไว้บ้าง และมีปริมาณมากน้อยเท่าใด เพราะมองเป็นเรื่องไกลตัว ” นางสวาท กล่าว