เรียกได้ว่ากำลังเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ ภายหลัง “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ประกาศลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล เนื่องจากพรรคชนะเสียงการเลือกตั้งอันดับ 1 แต่ต้องมาเป็น “ฝ่ายค้าน” และด้วยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดให้ “ผู้นำฝ่ายค้าน” จำเป็นต้องเป็น สส. ที่ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคของพรรคฝ่ายค้านอันดับ 1
ซึ่งปัจจุบันนายพิธา ยังอยู่ภายใต้คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. จึงยังไม่สามารถเข้าไปทำงานในสภาผู้แทนราษฎร และไม่สามารถจะดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านได้ในระยะเวลาอันใกล้ นั้น
วันนี้ “เดลินิวส์ออนไลน์” จึงอยากพาทุกท่านมาย้อนเส้นทางบนสายการเมืองของ “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” โดยจุดเริ่มต้น นายพิธาก้าวเข้าสู่วงการเมืองด้วยการเป็น “ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรี ประจำกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลัง” ต่อมานายพิธา สมัครเป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ด้วยการเชื้อเชิญของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรค และเมื่อ พ.ศ. 2562 เขาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคในลำดับที่ 4 และได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งแรกที่ลงรับเลือกตั้ง โดยนายพิธา ได้รับเลือกให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ในสัดส่วนของพรรคอนาคตใหม่
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/09/6-3-1.jpg)
และเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2562 พิธาอภิปรายครั้งแรกในสภา ประเด็นนโยบายทางการเกษตรของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดยเฉพาะ “ปัญหากระดุม 5 เม็ด” ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายพิธาเสนอการแก้ปัญหาให้แก่เกษตรกร ด้วยการติดกระดุม 5 เม็ด ได้แก่ ที่ดิน, หนี้สินการเกษตร, สารเคมีและการประกันราคาพืชผล, การแปรรูปและนวัตกรรม และการท่องเที่ยวเชิงเกษตร จากการอภิปรายดังกล่าวของเขา พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวชื่นชมการอภิปรายของนายพิธา แม้จะสังกัดคนละพรรคกัน
![undefined](https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/8b/Pita_Nonthaburi_2023_04.jpg/1280px-Pita_Nonthaburi_2023_04.jpg)
ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 ในวันที่ 8 มีนาคม นายพิธาย้ายไปสังกัดพรรคก้าวไกล ร่วมกับอดีตสมาชิกพรรคอีก 54 คน โดยนายพิธา ได้ดำรงตำแหน่งเป็น “หัวหน้าพรรคก้าวไกล”
หลังจากนั้น ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2566 นายพิธาได้ลงพื้นที่หาเสียงทั่วประเทศร่วมกับสมาชิก สส. ของแต่ละจังหวัด ซึ่งสิ่งคุ้นตาที่หลายคนมักจะเห็นเวลาหาเสียงนั่นก็คือ การขึ้นรถแห่ไปสถานที่ต่างๆ จนหลายคนให้ฉายาว่า “นายกฯ รถแห่” อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 15 พฤษภาคม หลังการประกาศผลการเลือกตั้ง นายพิธาประกาศว่าเขาพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากที่พรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงมากที่สุด และเชิญพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยพรรคการเมืองฝ่ายค้านในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งหมด ที่ได้รับการเลือกตั้ง พร้อมด้วยพรรคขนาดเล็กอีกจำนวนหนึ่ง จัดตั้งรัฐบาลผสม
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/09/3-6-1.jpg)
ในวันที่ 18 พฤษภาคม นายพิธาพร้อมพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง พรรคเพื่อไทย, พรรคไทยสร้างไทย และพรรคประชาชาติ แถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การนำของเขา โดยทุกพรรคพร้อมสนับสนุนนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี และจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่นำมาใช้ตั้งรัฐบาลในการเมืองไทย พรรคร่วมรัฐบาลของนายพิธา จัดงานแถลงข่าวอีกครั้งเพื่อเปิดบันทึกความเข้าใจแก่สาธารณชน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/09/pita.ig_347602046_635099984733634_49438902343337037_n.jpg)
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม ศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า ได้รับคำร้องของ กกต. ขอให้พิจารณากรณีนายพิธาและพรรคก้าวไกล เสนอร่างแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย เป็นความพยายามในการ “ล้มล้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” กกต. ระบุว่า นายพิธาขาดคุณสมบัติในการเป็นสมาชิกรัฐสภา ขณะที่นายพิธา กล่าวว่า ขั้นตอนการดำเนินการของ กกต. นั้นไม่ยุติธรรม และตัวเขาเองไม่ได้รับโอกาสในการชี้แจงก่อนจะยื่นคำร้องให้กับศาลรัฐธรรมนูญ หนึ่งวันก่อนการพิจารณาในรัฐสภา นายพิธาเตือนสมาชิกรัฐสภาว่า “มันมีราคาที่ต้องจ่ายสูง” หากเขาไม่ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/09/pita.ig_361460767_1985750161787962_505025256297773252_n.jpg)
เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม รัฐสภาเรียกประชุมพิจารณาเห็นชอบนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง ในวันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องกรณี “นายพิธาถือหุ้นสื่อไอทีวีอย่างเป็นเอกฉันท์” และยังมีมติ 7 ต่อ 2 สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยเป็นอื่น แต่การหยุดปฏิบัติหน้าที่ของเขา ไม่ได้ทำให้ไม่สามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ระหว่างการประชุมรัฐสภา นายพิธากล่าวรับทราบคำวินิจฉัยและออกจากโถงประชุม ในการอภิปรายต่อมา รัฐสภามีมติไม่เห็นชอบให้เสนอชื่อเขาเป็นนายกรัฐมนตรีซ้ำอีกครั้งในรอบถัดไป สมาชิกรัฐสภาจากพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายพิธา แต่ถูกโต้แย้งว่าขัดต่อข้อบังคับการประชุมรัฐสภาที่ห้ามไม่ให้เสนอญัตติซ้ำ ในการลงคะแนนให้สามารถเสนอชื่อบุคคลซ้ำได้อีก มีผู้ให้ความเห็นชอบ 312 คน ไม่เห็นชอบ 394 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวุฒิสมาชิก และงดออกเสียง 8 คน โดยที่นายพิธา ไม่ได้ลงคะแนนเสียง
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/09/LINE_P2023719_105354.jpg)
จากผลการลงคะแนนดังกล่าวในรัฐสภา นายพิธาไม่สามารถได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก จนกว่าจะถึงสมัยประชุมใหม่หลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งถัดไป แม้นายพิธายังคงถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขาส่งสัญญาณเป็นนัยสนับสนุนบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี (แคนดิเดต) จากพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทย ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลของนายพิธา หลังพรรคก้าวไกลปฏิเสธที่จะล้มเลิกความพยายามแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทยตามที่ได้ให้คำมั่นไว้ในช่วงหาเสียง
เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย “นายเศรษฐา ทวีสิน” ชนะการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง โดยความเห็นชอบของรัฐสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคก้าวไกล ที่อยู่ในที่ประชุมทุกคน (149 คน) ไม่ให้ความเห็นชอบนายเศรษฐา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2023/09/LINE_P2023719_105405.jpg)
อย่างไรก็ตาม หัวหน้าพรรคก้าวไกลไม่สามารถเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรได้ เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 106 ระบุว่า ผู้นำฝ่ายค้านจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นหัวหน้าพรรคที่มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุดในกลุ่มพรรคการเมืองที่ไม่มีสมาชิกเป็นรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดพิษณุโลก ของพรรคก้าวไกล ยังคงดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1
ทำให้ตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านนี้ จะเป็นของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์แทน และแม้นายปดิพัทธ์จะลาออก นายพิธาซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ยังไม่สามารถทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ดังนั้นเมื่อวันที่ 15 กันยายน นายพิธาจึงประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อให้พรรคก้าวไกลดำเนินการเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ มาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพื่อทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากการลาออกจากหัวหน้าพรรคของนายพิธา ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารชุดเดิมพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ โดยจะมีการเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ในวันที่ 24 กันยายน..