จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 2 จังหวัดระยอง ได้ออกหมายจับ นายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา โดยในที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิด นายอิทธิพล คุณปลื้ม และพวก กรณีพิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร (แบบ อ.1) เลขที่ 700/2551 ลงวันที่ 10 กันยายน 2551 ให้แก่บริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคารโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ บริเวณเชิงเขาพระตำหนัก เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

เผ่นออกนอกประเทศ! แฉ ‘อิทธิพล คุณปลื้ม’ ไหวตัวทันบินไปพนมเปญ ก่อนหมายจับออก

สำหรับโครงการ “วอร์เตอร์ฟร้อนท์ สวีท แอนด์ เรสซิเดนท์” พัทยา จ.ชลบุรี นั้นเป็นโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียมสุดหรู ตั้งตระหง่านริมอ่าวพัทยา บริเวณท่าเรือแหลมบาลีฮาย ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยเป็นโครงการที่มีขนาดความสูง 53 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ 1 งาน 83 ตารางวา บริหารงานโดย บริษัท บาลีฮาย จำกัดที่ได้ยื่นขอต่อใบอนุญาตก่อสร้างจากเมืองพัทยาในปี พ.ศ. 2551 จากจำนวนห้องพัก 312 ห้อง ซึ่งในครั้งนั้นมีกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ พากันเช่าซื้อในราคากันอย่างคึกคัก สนนราคาตั้งแต่ 4-12 ล้านบาท

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวระดับสูงในเมืองพัทยาว่า สำหรับกรณีที่นายอิทธิพล คุณปลื้ม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกเมืองพัทยา และพวกได้พิจารณาออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร (แบบ อ.1) เลขที่ 700/2551 ลงวันที่ 10 กันยายน 2551 ให้แก่บริษัท บาลี ฮาย จำกัด เพื่อก่อสร้างอาคารโครงการวอเตอร์ฟร้อนท์ บริเวณเชิงเขาพะตำหนัก เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี นั้นเป็นการพิจารณาอนุญาตด้วยเพราะมีการขออนุญาตอย่างถูกต้อง โดยทางโครงการได้ยื่นเอกสารสำคัญประกอบการพิจารณา ทั้งเรื่องกรรมสิทธิ์เอกสารการครอบครองที่ดิน แบบแปลนอาคาร รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และข้อมูลอื่นๆ ประกอบร่วมเพื่อให้เมืองพัทยาตรวจสอบ

โดยขณะนั้นยังไม่มีเรื่องของการพิจารณาหรือคำสั่งในเรื่องของที่ดินว่ามีที่มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่แต่อย่างใด ดังนั้นการพิจารณาออกใบอนุญาต จึงถือว่าเมืองพัทยาทำตามขั้นตอนตามกฎหมายทุกประการ รวมไปถึงการพิจารณาต่อใบอนุญาตครั้งแรกหลังผ่านพ้นเวลาตามกำหนดของกฎหมายในระยะเวลา 2 ปี ซึ่งมีเงื่อนไขของการพิจารณาว่า โครงการจะต้องมีความคืบหน้าการก่อสร้างไปในสัดส่วน 10% ก็พบว่ามีการดำเนินโครงการตามกรอบที่กฎหมายกำหนดจึงได้มีการต่อใบอนุญาตไปให้

กระทั่งสุดท้ายในช่วงปลายปี 2551 นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยาขณะนั้น ได้มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างโครงการโดยระบุว่า เมืองพัทยาไม่สามารถต่อใบอนุญาตก่อสร้างในรอบที่ 3 ให้ได้ เนื่องจากตรวจพบว่ามีการก่อสร้างผิดแบบตั้งแต่ฐานราก รวมทั้งตำแหน่งช่องลิฟต์และบันไดหนีไฟ และยังได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สำนักการช่าง เข้าตรวจสอบสภาพตัวอาคารเพื่อให้แก้ไขรายละเอียดแบบแปลนรวม 42 จุด กระทั่งในช่วงปลายปี 2559 ทางโครงการฯ ได้แจ้งต่อเมืองพัทยาว่า พร้อมปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดตามกฎหมาย รวมทั้งการลดระดับความสูงของอาคารลง 8 ชั้น เพื่อลดผลกระทบต่อภาคประชาชนที่กำลังต่อต้านอย่างหนัก เนื่องจากโครงการบดบังภูมิทัศน์และตั้งขวางแนวอนุสาวรีย์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ บนเขา สทร.5 พัทยา

โดยในช่วงที่ เมืองพัทยา ยังไม่ออกใบอนุญาตให้ดำเนินการก่อสร้าง พร้อมมอบหมายให้นิติกรเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อบริษัท บาลีฮาย จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการใน 2 ข้อหาคือ 1.ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น และ 2.บุกรุกพื้นที่สาธารณะบริเวณเชิงเขา จนต่อมาทำให้กลุ่มผู้ซื้อห้องพักรวมตัวเพื่อเรียก ร้องสิทธิ และความเสียหาย ทำให้โครงการต้องยื่นเรื่องต่อศาลล้มละลายกลางเพื่อขอฟื้นฟูกิจการหลังต้องแบกภาระหนี้กว่า 2.39 พันล้านบาท ในปี 2561 แต่ศาลไม่รับคำร้อง

ต่อมา นายอภิชาต วีปรปาล รองนายกเมืองพัทยา ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของ คสช. ในปี 2560 ได้ลงนามคำสั่งเมืองพัทยาแบบ ค.15 เลขที่ 367/2560 ประกาศให้มีการรื้อถอนอาคารตามมาตรา 4 และ 43 วรรคสาม (กรณีที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ยื่นคำขอรับใบอนุญาต แก้ไขเปลี่ยนแปลงอาคาร หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงใบอนุญาต) โดยแจ้งความไปยัง บริษัท บาลีฮาย จำกัด ซึ่งระบุว่า ตามที่เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง ดัดแปลง เคลื่อนอาคาร การรื้อถอนอาคาร ตามมาตรา 41 วรรคหนึ่ง กรณีที่กระทำผิดไปจากที่ได้รับอนุญาตหรือคำสั่งห้ามใช้อาคารหรือยินยอมให้บุคคลใดใช้อาคารที่อาจเป็นภยันตรายตามมาตรา 40 วรรคหนึ่งและมาตร 41 วรรคหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่าทางโครงการมิได้ดำเนินการให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 42 และ มาตรา 43 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2511 ให้ทำการรื้ออาคาร ค.ส.ล. 50 ชั้น 3 ชั้นใต้ดิน ขนาด 19.70×91.35 เมตรจำนวน 1 หลัง ในส่วนที่ไม่ตรงกับแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตให้แล้วเสร็จใน 365 วันหลังได้รับคำสั่ง โดยหากพ้นระยะเวลาที่กำหนด ก็จะดำเนินการทางกฎหมาย

จนมาในปี 2563 นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยาคนต่อมา ได้ลงนามหนังสือประกาศคำสั่ง เมืองพัทยาที่ ชล. 52304/9377 ลงวันที่ 27 ต.ค. 2563 ออกประกาศเชิญชวนภาคเอกชนร่วมเสนอราคาและวิธีการรื้อถอนอาคารอย่างเป็นทางการอีกครั้ง โดยมีเนื้อหาระบุว่า เมืองพัทยาจำเป็นต้องดำเนินการรื้อถอนอาคารโครงการฯ ซึ่งก่อสร้างผิดแบบจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตหลังมีคดีความยืดเยื้อมานานนับ 10 ปี จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมว่าโครงการดังกล่าวจะจบลงอย่างสวยงาม และมีการใช้อำนาจทางกฎหมายเข้ามาดำเนินการได้จริงเพียงใด จนปัจจุบันทาง ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิด นายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตนายกเมืองพัทยา พร้อมพวกออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

มีรายงานเพิ่มเติมว่าในเวลาต่อมา ทางคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จังหวดชลบุรี ได้มีมติยกเลิกเพิกถอนคำสั่งรื้อถอนของเมืองพัทยา โดยระบุว่าทางโครงการได้มาเสนอเรื่องเพื่อดำเนินการก่อสร้างและแก้ไขแบบแปลนต่อแต่เมืองพัทยาไม่พิจารณาอนุญาต อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องของการลงนามคำสั่งรื้อถอนอาคารนั้นพบ ว่าเป็นการลงนามของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ซึ่งไม่มีอำนาจในการออกคำสั่งดังกล่าว จนมาในช่วงปลายปี 2565 ทางโครงการจึงได้มายื่นขอต่อใบอนุญาตก่อสร้างอีกครั้ง และเมืองพัทยากำลังพิจารณาความเหมาะสมแต่ก็มีหนังสือจาก ป.ป.ช. ให้ระงับการอนุญาตโครงการด้วย เพราะที่ดินที่ตั้งของโครงการ มีการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย กระทั่งมีการออกหมายจับ นายอิทธิพล คุณปลื้ม ดังกล่าว.