โดยปัจจุบัน REFC สามารถพยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาด ทั้งพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ของโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) สำเร็จแล้ว ซึ่งผลพยากรณ์จะนำไปใช้ในการวางแผนผลิตไฟฟ้าร่วมกับโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงประเภทอื่น เพื่อให้ระบบไฟฟ้าสามารถรองรับความผันผวนและความไม่แน่นอนจากปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากพลังงานหมุนเวียน ส่วน DRCC ศูนย์กลางในการควบคุมการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าหรือลดโหลด ดำเนินการผ่าน Load Aggregator (LA) ซึ่งจะรวบรวมโหลดของผู้ใช้ไฟฟ้าที่ยินดีรับเงินชดเชยจากการลดปริมาณการใช้ไฟฟ้า ปัจจุบัน DRCC อยู่ระหว่างการดำเนินงานภายใต้โครงการนำร่อง ซึ่งมีปริมาณโหลดที่ลดลงได้ 50 เมกะวัตต์ โดยมีการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทำหน้าที่เป็น LA ในอนาคต ภาคเอกชนสามารถเข้ามาเป็น LA ได้ ก่อให้เกิดธุรกิจใหม่ทางด้านพลังงานต่อไป โดยทุก LA จะอยู่ภายใต้การควบคุมของ DRCC

กิตติ เพ็ชรสันทัด รองผู้ว่าการระบบส่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

“REFC และ DRCC ที่จัดตั้งขึ้นนี้ จะเป็นต้นแบบของศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนระดับภูมิภาค และศูนย์ควบคุมการตอบสนองด้านโหลดระดับภูมิภาคอย่างละ 5 ศูนย์ ตามศูนย์เขตการควบคุมระบบไฟฟ้าเพื่อความทันสมัยและมั่นคง นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนในระดับพื้นที่ที่มีศักยภาพของพลังงานหมุนเวียนตามสถานีไฟฟ้าแรงสูงของ กฟผ. โดยเริ่มต้นที่ 11 ศูนย์ เพื่อรองรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่จะเข้ามาในระบบไฟฟ้าเพิ่มขึ้นกว่า 8,000 เมกะวัตต์ ในอนาคต รวมทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนขนาดเล็กมาก (VSPP) ที่กระจายอยู่นอกระบบไฟฟ้าของ กฟผ. ซึ่งอาจส่งผลต่อการควบคุมและความมั่นคงในระบบไฟฟ้าของประเทศได้”

การเปิดศูนย์นี้ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ กฟผ. ช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน เพื่อให้ระบบไฟฟ้ามีความมั่นคง มีเสถียรภาพ และเชื่อถือได้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การพัฒนา Grid Modernization ในมิติอื่น ๆ ซึ่ง กฟผ. พร้อมเดินหน้าต่อไป เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593.