เมื่อวันที่ 5 ก.ค. พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เดินทางไปให้ปากคำการสอบสวน กรณีที่เคยยื่นคำร้องให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบการให้ข้อมูลเท็จ เกี่ยวกับคุณสมบัติการยื่นเป็นผู้สมัคร ส.ส. ของนายสิระ เจนจาคะ นั้นว่า คดีดังกล่าวเมื่อตอนที่ตนเป็นประธานกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ได้ตรวจสอบความประพฤติของนายสิระ และได้ขอคำพิพากษาไปยังศาลแขวงปทุมวัน พบว่า นายสิระถูกศาลพิพากษาจำคุก ความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 และยังพบความผิดคดีเช็คอีก 4 คดี ซึ่งยังรอลงอาญา รวมทั้งคดีทำร้ายร่างกายและคดีขับรถชนอีก 2 คดี ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ส่งศาลรับธรรมนูญวินิจฉัยเรื่อคุณสมบัติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (10) ที่กำหนดห้ามบุคคลที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้สั่งให้นายสิระหยุดปฏิบัติหน้าที่ โดยนายสิระได้ยื่นคำร้องแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายสิระสู้ว่าคำพิพากษาที่ตนส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้น ไม่มีหนังสือรับรองถึงที่สุด ทั้งที่คดีทุกคดีไม่ได้มีหนังสือรับรองถึงที่สุด นอกจากโจทย์หรือจำเลยจะขอ ศาลถึงจะออกให้ แต่หากไม่ขอศาลก็จะไม่ออกให้ ซึ่งในคดีดังกล่าวนายสิระรับสารภาพ และศาลพิพากษาจำคุก และไม่มีอุทธรณ์เพราะนายสิระไม่ได้ต่อสู้คดี นอกจากนั้นนายสิระยังอ้างว่าได้ตกลงกับผู้เสียหายเจรจาชดใช้เงินจนผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์จากศาล แต่ไม่มีรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวประกอบคำพิพากษาแต่อย่างใด มีเพียงคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนที่นายสิระอ้างถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญตามมาตรา 98 (10) ว่าการกระทำผิดต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อแผ่นดิน ซึ่งนายสิระอ้างว่าความผิดในคดีดังกล่าวเป็นความผิดยอมความได้ ไม่ใช่ความผิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อแผ่นดิน เขาก็อ้างว่าไม่ขาดคุณสมบัติ ทั้งที่เจตนารัฐธรรมนูญเรื่องคุณสมบัติ ส.ส.ต้องมีคุณสมบัติน่าเชื่อถือ และต้องมีคุณสมบัติไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อประโยชน์สาธารณะ แต่นายสิระกลับอ้างแค่เรื่องไม่ใช่ความผิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อแผ่นดิน

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า นอกจากกรณีคุณสมบัติที่ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ในกรณีนายสิระสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.นั้น ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน ปกปิดข้อมูลที่ควรจะแจ้งให้ทราบ เพราะตัวเองขาดคุณสมบัติ แต่อ้างว่ามีคุณสมบัติครบ ก็ถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จเพราหากบอกว่าเคยถูกจำคุกก็คงไม่ได้เป็น ส.ส. ซึ่งก่อนหน้านี้ตนนำเรื่องนี้แจ้งต่อ กกต. ในฐานะที่ กกต.เป็นผู้เสียหายในเรื่องดังกล่าว และในวันนี้เป็นการให้ข้อมูลต่อ กกต. และได้ให้ข้อมูลตามความเป็นจริงว่าได้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายสิระและพบว่าเคยต้องโทษตามคำพิพากษาซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (10) และได้นำคำแก้ข้อกล่าวหาที่นายสิระยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแจ้งให้ กกต.ทราบ เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ หาก กกต. วินิจฉัยเสร็จตะต้องส่งศาลฎีกาเพื่อพิพากษา ซึ่งจะต้องมีโทษจำคุก 1-2 ปี และตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี ดังนั้นหากนายสิระมีความผิดยังไงก็ไม่รอด และเมื่อครั้งนายสิระเป็น สปช. เมื่อปี 2557 ก็ไม่เคยแจ้งลักษณะต้องห้ามเหล่านี้ ทั้งเรื่องฉ้อโกง เรื่องถูกจำคุกคดีเช็ค 4-5 คดี ซึ่งตนได้ยื่นคำร้องต่อ กกต.ไว้แล้ว นอกจากนั้นยังมีกรณีที่นายสิระขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตอนเป็น ส.ส. ซึ่งจะต้องแจ้งว่าไม่เคยต้องโทษจำคุก โดยตนได้ขอหนังสือไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่ก็ยังไม่ได้ข้อมูล เพราะอ้างว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล.