เมื่อวันที่ 5 ก.ค. พรรคเพื่อไทย (พท.) จัดเสวนา “วิกฤติโควิด-19 ทางออกก่อนถึงทางตัน” เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนและเสนอแนะหาทางออกในสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ซึ่งเข้าขั้นวิกฤติ โดยมีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคฯ น.พ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. น่าน และนางสาวอรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคฯ ร่วมการเสวนา
นายพิชัย กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังจะพัง ภาคธุรกิจจะทยอยปิดกิจการลง คนไทยจะตกงานมากขึ้น ขณะที่ราคาสินค้าจะสูงขึ้น ตนขอเสนอ 7 ทางออกก่อนถึงทางตัน ได้แก่ 1.สั่ง mRNA 60 ล้านโด๊ส ให้บุคลากรทางการแพทย์ 2.พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเจรจาบังคับให้แอสตราเซเนกาส่งวัคซีนที่สั่งไว้ตามกำหนด 3.กระจายฉีดวัคซีนและเปิดประเทศใหม่ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 4. เปลี่ยนแปลงการเยียวยาผู้ได้รับความเดือดร้อนให้ตรงจุด 5.ปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ย 0% ให้กับผู้ประกอบการรายย่อย 6.เร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญปิดสวิตช์ ส.ว.และ 7.พล.อ.ประยุทธ์ ต้องออกไป
ด้าน นพ.ชลน่าน กล่าวว่า สถานการณ์โควิดในประเทศขณะนี้ถึงทางตัน ตนขอเสนอทางออก ได้แก่ 1.รัฐบาลต้องเปิดให้ประชาชนเข้าถึงชุดตรวจเชื้อ 2.ปรับวิธีการกักตัวใหม่ 3.จัดทีมเฝ้าระวังออกสำรวจโรค 4.จัดหาวัคซีนเน้นบุคลากรการแพทย์ และ 7 กลุ่มเสี่ยง และ 5.รัฐบาลต้องหาวัคซีนคุณภาพให้ได้มากที่สุด
“เมื่อรัฐบาลโดย ศบค. บริหารประเทศจนมีประชาชนติดเชื้อ เจ็บป่วย ล้มตายมหาศาลรายวันขนาดนี้ มันเกินกว่าคำว่าบริหารงานโดยประมาทเลินเล่อ นี่คือการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่จนเกิดการระบาดล้มตาย อาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกตัวอย่างไว้ว่าเราสามารถใช้มาตรการทางกฎหมายเอาผิดรัฐบาลได้ ดังนั้นเราจะต้องมีมาตรการทางกฎหมายเพื่อเอาผิดรัฐบาลและ ศบค. เพื่อคืนความยุติธรรมให้กับคนที่เจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโควิด ให้ได้รับความยุติธรรม” นพ.ชลน่าน กล่าว
ขณะที่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า บุคลากรทางการแพทย์ต้องร้องไห้ ระบบสาธารณสุขถูกตั้งคำถามว่าจะรับมือได้อีกกี่วัน วิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติสังคมทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะรัฐบาลมั่นใจม้าเต็ง ที่วันนี้กลายเป็นม้าแกลบ ปัญหาสำคัญคือรัฐบาลใช้การทหารนำการสาธารณสุข ทางรอดเดียว คือ ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเพื่อเร่งให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ วันนี้รัฐบาลถึงทางตันจึงขอเสนอทางออกดังนี้ 1.เร่งฉีดวัคซีน mRNA ให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าโดยเฉพาะพื้นที่สีแดง 2.แก้ไขปัญหาการบริหารจัดการวัคซีนและนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ 3.เร่งตรวจเชิงรุก ประชาชนเข้าถึงการตรวจเชื้อด้วยตัวเอง และเตรียมระบบรองรับการดูแลผู้ติดเชื้อที่บ้าน 4. เร่งเยียวยาประชาชนเดือนละ 5,000 บาท อย่างน้อย 3 เดือน เร่งชดเชยเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ทั้งการยกเว้น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่ ลดหรือหยุดดอกเบี้ยสำหรับประชาชนและผู้ประกอบการ และ 5. ยกเลิก ศบค.ทั้งชุดเล็ก ชุดใหญ่ กลับไปใช้โครงสร้างการทำงานปกติ
“พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออก เพื่อเปิดโอกาสให้ปัญหาวิกฤติได้รับการแก้ไข ตราบที่ยังคงคิดเหมือนเดิม ทำแบบเดิม สถานการณ์ข้างหน้าจะวิกฤตมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไข” นายอนุสรณ์ กล่าว
ส่วน น.ส.อรุณี กล่าวว่า ในสถานการณ์นี้ทางออกที่ควรพิจารณา คือการใช้อำนาจทางกฎหมายผ่านองค์กรตุลาการ เอาผิดพล.อ.ประยุทธ์ ฐานะ ผอ.ศบค ที่จัดสรรวัคซีนที่ล่าช้า ไม่หลากหลาย และมีความหละหลวมการระงับการระบาดตั้งแต่ระลอก 1-3 จนถึงปัจจุบัน เป็นการกระทำละเมิดรัฐธรรมนูญ 60 ยืนยันว่า พรรค พท. จะทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องชีวิตประชาชน เอาผิด พล.อ.ประยุทธ์ให้ได้
น.ส.อรุณี กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังมีความเป็นห่วงเด็กไทยที่อาจจะหลุดจากระบบการศึกษา 7 หมื่นคน จากการประเมินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จึงขอเสนอทางออกต่อกระทรวงศึกษาธิการที่ควรจะทำคือ 1.จัดสรรงบประมาณอุดหนุนกับกลุ่มเด็กเปราะบางและยากจน 2.ยกเลิกการสอบวัดผลทุกระดับในสถานการณ์นี้ 3.ส่งเสริมการเรียนการสอนแบบ Active Learning มากขึ้น และ4.เน้นเนื้อหาที่จำเป็นในวิชาพื้นฐานที่ควรรู้ แต่เพิ่มเติมเนื้อหาที่จะพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล เพิ่มเติมจากการส่งเสริม IQ และEQ
“วงจรหลุมดำของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่แค่การระงับควบคุมโรคเท่านั้น แต่ต้องวางแผนไปในอนาคตถึงโอกาสของเด็กไทยด้วย เราผิดพลาดตั้งแต่มี #ผนงรจตกม เราต้องไม่ทำผิดพลาดต่ออนาคตของประเทศอีก” น.ส.อรุณี กล่าว.