น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวภาพ ให้ไทยเป็นศูนย์กลางแห่งอาเซียน มีผลิตภัณฑ์เป้าหมายคือ พลาสติกชีวภาพ เคมีชีวภาพ และชีวเภสัชภัณฑ์ สอดรับวาระแห่งชาติโมเดลเศรษฐกิจ บีซีจี ที่ใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มาเสริมสร้างจุดแข็งของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ล่าสุด สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ประมาณการว่า อุตสาหกรรมชีวภาพจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ค่าเฉลี่ยของตลาดโลกเติบโตอยู่ที่ 13.8% ต่อปี ในช่วงตั้งแต่ปี 2558-2568

จากรายงานความก้าวหน้าของมาตรการพัฒนาอุตสาหกรรมชีวภาพของไทย ปี 2561-2570 จัดทำโดยกระทรวงอุตสาหกรรม เสนอต่อ ครม.เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นถึงความพร้อมของประเทศในการผลักดันให้เป็นผู้นำอุตสาหกรรมชีวภาพครบวงจรในอาเซียนเนื่องจากเป็นหนึ่งในจำนวนไม่กี่ประเทศในโลกที่มีศักยภาพด้านวัตถุดิบจากสินค้าเกษตร โดยเป็นผู้ส่งออกมันสำปะหลังและน้ำตาล อันดับต้น ๆ ของโลก มีฐานการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพ เช่น กรดแลคติก สารให้ความหวาน และพลาสติกชีวภาพ และเป็นผู้นำการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในอาเซียน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ได้ให้ข้อมูลว่า หากภาคเอกชนสามารถดำเนินโครงการต่าง ๆ ได้ตามแผน จะเกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้นอีกกว่า 1.49 แสนล้านบาท ช่วยสนับสนุนจีดีพีของประเทศให้โตเพิ่มขึ้น  และยังก่อให้เกิดประโยชน์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม สร้างงาน สร้างรายได้แก่เกษตรกรและแรงงานในหลายพื้นที่อีกด้วย เบื้องต้น ได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายไว้ คือ พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ภาคอีสานตอนกลาง และภาคเหนือตอนล่าง

อย่างไรก็ตาม แผนการก่อสร้างโรงงานของภาคเอกชนมีบางส่วนถูกกระทบเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 แต่ก็ยังมีการลงทุนหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการขับเคลื่อน  อาทิ 1.โครงการผลิตพอลิเมอร์ชีวภาพชนิดโพลีแลคติค แอซิด ที่ จ.นครสวรรค์ 2.โครงการไบโอ ฮับ เอเซีย จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งมีนักลงทุนหลายรายจากต่างประเทศที่สนใจร่วมลงทุนในโครงการ เช่น เนเธอร์แลนด์ สหรัฐอเมริกา แคนาดา เยอรมนี สหราชอาณาจักร จีน ฝรั่งเศส และ 3. โครงการลพบุรีไบโอคอมเพล็กซ์ จ. ลพบุรี อยู่ระหว่างออกแบบโครงการและเจรจากับนักลงทุนที่สนใจ

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ในส่วนมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้กำหนดสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้ นิติบุคคลเป็นระยะเวลา 8-13 ปี ขึ้นอยู่กับประเภทกิจการและคุณค่าของโครงการ รวมถึงสิทธิและประโยชน์ อื่น ๆ อาทิ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นอากรขาข้าวของที่นำเข้ามาใช้ในการวิจัยและพัฒนา ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังได้สร้างแรงจูงใจเพื่อเพิ่มความต้องการการใช้พลาสติกย่อยสลายทางชีวภาพ ด้วย