ยังอลวน…อลเวง!! ไม่เลิก สำหรับปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงตัวนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” หัวหน้าพรรคก้าวไกล ตามครรลองที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

อาจเป็นรูปภาพของ 1 คน

เรื่องนี้ยังต้องใช้เวลาอีกระยะ เพราะช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เกิดกระแส “แซะ” ที่แสดงให้เห็นถึงการแย่งชิงขั้วอำนาจเกิดขึ้นกันแล้ว หรือแม้แต่การจัดสรรตำแหน่ง ที่ยังไม่ลงตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฏร

เอาเป็นว่า…ประชาชนคนไทยที่ใช้สิทธิใช้เสียงไปก่อนหน้านี้ อาจต้องลุ้นระทึกกันสักหน่อยว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้หรือไม่?

แต่ที่มัวรอ แล้วอาจเกิดปัญหาตามมาให้แก้อีกสารพัด คงหนีไม่พ้นเรื่องของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ทุกฝ่ายต่างออกมาเรียกร้องเหมือน ๆ กัน คือ… ต้องตั้งรัฐบาลให้เร็ว

หากยิ่งล่าช้า ก็ยิ่งกระทบต่อ การใช้เงินงบประมาณ โดยเฉพาะในเรื่องของงบลงทุน รวมไปถึงการออกกฎหมายงบประมาณรายจ่ายปี ที่เบื้องต้นคาดการณ์กันไว้แล้วว่า จะล่าช้าออกไปถึง 6 เดือนก็เป็นไปได้

ถ้าไม่สามารถใช้งบประมาณอย่างต่อเนื่องได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของงบลงทุน ก็เท่ากับว่าการจะเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ ก็ยิ่งลดน้อยถอยลงไป

ไม่ใช่แค่นี้…อย่าลืมว่า เศรษฐกิจของประเทศในเวลานี้มีรายได้หลัก ๆ มาจากการ ส่งออกสินค้า ที่ตัวเลขยังคงติดลบต่อเนื่องกันมานานถึง 6 เดือนแล้ว ล่าสุด!! การส่งออกในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา ก็ ติดลบ 4.5%

Photo transportation and logistics businessman handshake of global network logistics partnership

อย่างที่บอก!! เรื่องส่งออกนี้ต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโลกและภาวะการค้าโลกเป็นหลัก ในเมื่อเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัว ก็เป็นธรรมดาที่ทำให้ประเทศส่งออกต้องมีรายได้ลดลงไปด้วย

แม้กระทรวงพาณิชย์เอง ต่างระดมบรรดาทูตพาณิชย์ทั่วโลก มาร่วมกันวางแผนผลักดันยอดส่งออกทั้งปีให้เติบโตให้ได้อย่างน้อย 1-2% หรือคิดเป็นมูลค่า 290,300-293,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่าน 350 กิจกรรม เพื่อเจาะตลาดเป้าหมายใน 7 ภูมิภาค ให้ได้เดือนละ 19,250 ล้านบาท ก็ตาม

หากไม่มีผู้นำทัพ ไปเจรจาการค้า ไปเพิ่มมูลค่าการส่งออก หรือแม้แต่การเดินทางไปเจรจาผลักดัน เรื่องความตกลงทางการค้าหรือเอฟทีเอ กับประเทศต่าง ๆ ให้เกิดความต่อเนื่อง นั่นก็หมายความว่าโอกาสการส่งออกสินค้าไทย เริ่มหดหาย เริ่มลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน

หันมาดูในเรื่องของ การลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเป็นอีกเครื่องยนต์หลักที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป เพราะเมื่อมีการลงทุนในประเทศเกิดขึ้น ก็สร้างงาน สร้างเงิน สร้างเศรษฐกิจให้หมุนเวียน สุดท้ายก็นำไปสู่การเพิ่มการส่งออกในอนาคตด้วยเช่นกัน

ด้วยสถานการณ์การเมือง ที่ยังไม่ลงตัวอยู่ทุกวันนี้ ก็ส่งผลให้บรรดานักลงทุนเอง ต่างรอดูว่าหน้าตาใหม่ของรัฐบาลใหม่จะเป็นอย่างไร ขณะเดียวกันหากสำทับมาด้วยเรื่องของการขึ้นค่าแรงทันที 450 บาทตามนโยบายของพรรคก้าวไกล ก็ยิ่งเป็นปัจจัยที่อาจทำให้บรรดานักลงทุนจากต่างประเทศหันไปหาเพื่อนบ้าน ที่มีต้นทุนค่าแรงถูกกว่าแทน

Photo bangkok, thailand - november 22, 2019: construction industry engineer foreman standing orders airport for worker team to work at high safety

อย่าลืมว่าทันทีที่หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ออกเดินสายพบสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท. เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสข่าวเรื่องของการขึ้นค่าแรง ก็กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์กันอีกรอบ

ที่สำคัญ!! ในรอบนี้บรรดาภาคเอกชนทุกค่ายต่างประสานเสียงไม่เห็นด้วยกับการขึ้นค่าแรงแบบหว่านกันไปหมดทั้งประเทศ แต่ควรดูศักยภาพ ดูทักษะของแรงงาน เป็นสำคัญ

แม้ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะยืนยันชัดเจนว่า ภาคเอกชนจะได้รับแรงสนับสนุนอย่างอื่นเข้ามาช่วยลดภาระจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น ทั้งในเรื่องของการนำค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาหักลดหย่อนภาษี เป็นเวลา 2 ปี หรือมีมาตรการเพิ่มสภาพคล่อง เข้ามาช่วยสนับสนุน ก็ตาม

แต่เชื่อเถอะ… สุดท้าย ถ้าค่าแรงเพิ่มขึ้นจริง ก็ส่งผลกระทบไม่น้อย ที่เห็น ๆ ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการขึ้นราคาสินค้าและบริการ ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นของคู่กัน แถมสินค้ายังขึ้นราคาไปก่อนหน้าที่ค่าแรงปรับเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไป

ทั้งหลายทั้งปวง จึงถือเป็นเรื่องที่น่าห่วง!! หากการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ไม่เป็นไปดั่งที่คาด หรือยิ่งล่าช้า หรือลากนานไปมากกว่าเดือน ส.ค.นี้ สารพันปัญหาที่รออยู่อาจยากเกินแก้ไข ก็เป็นไปได้

Free photo demographic census concept representation

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”