เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอดิศร เพียงเกษ ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. กล่าวถึงกรณี นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กส่งสัญญาณว่าตำแหน่งประธานสภาควรเป็นของพรรคก้าวไกล ว่าด้วยความเคารพนายปิยบุตรถือเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล จะกินรวบทุกตำแหน่ง โดยเข้าใจว่าตัวเองเป็นเสียงข้างมาก ความเป็นจริง 152 เสียง ยังไม่เกินครึ่ง ถ้าอยากได้ทุกตำแหน่ง ต้องทำให้ได้แบบพรรคไทยรักไทย (ทรท.) 377 เสียง ที่จะชี้เป็นชี้ตายเอาตำแหน่งไหนก็ได้
นายอดิศร กล่าวว่า พรรค พท. ยินดีสนับสนุน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ใช่ว่าได้ฝ่ายบริหารแล้ว จะไม่ให้พรรคอื่นไปดำรงตำแหน่งฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งต้องดูความเหมาะสมแต่ละช่วงเวลา เช่น สมัยที่ผ่านมา นายชวน หลีกภัย ได้เสียงไม่มาก ก็ยังได้ตำแหน่งประธานสภา และในอดีต นายอุทัย พิมพ์ใจชน มีเพียง 3 เสียง ก็ได้เป็นประธานสภา ต้องดูบุคลากรของทั้งสองพรรค ตนคิดว่าพรรค พท. น่าจะมีความเหมาะสมในตำแหน่งประธานสภามากกว่า
นายอดิศร กล่าวต่อไปว่า ตนยืนยันว่า ไม่ใช่การแก่งแย่ง เพราะทั้งสองพรรคเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ดังนั้น เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย ตำแหน่งประธานสภา ควรไปโหวตกันในสภาว่าพรรคไหนจะได้ เราเคารพกฎเกณฑ์ เคารพกติกา ควรมีคนที่เหมาะสมไปนั่งตำแหน่งประธานสภา ให้เป็นหน้าเป็นตาไม่แพ้ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบริหารเราได้คนหนุ่มแล้ว แต่ประธานสภา พรรคก้าวไกลก็ไม่ควรกินรวบ เล่นสลากกินแบ่งกันหรือเปล่า ถ้าพรรคก้าวไกลยังดื้อดัน สมมุติว่าพรรค พท. ไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลก็เดินไปไม่ได้อยู่ดี ตนไม่อยากให้เกิดภาพนี้ขึ้น
เมื่อถามว่า ถึงกรณีนายปิยบุตรออกมาโพสต์ไม่เห็นด้วยกับเอ็มโอยู่ ที่ไม่มีการแก้ไขมาตรา 112 กล่าวว่า ตนเสียดายที่นายปิยบุตรไม่ได้เข้าสภา หากท่านเป็นห่วงเรื่องเอ็มโอยู ก็ควรไปพูดในพรรคก้าวไกล โดยเฉพาะเรื่องมาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลฉกฉวยเรื่องนี้ไปหาเสียงจนได้รับชัยชนะ คนที่เป็นเอฟซีอาจติดใจว่า หาเสียงแทบเป็นแทบตาย ไปดูถูกพรรคอื่นว่าสู้ไปกราบไป แต่พอตัวเองได้รับชัยชนะแล้ว สิ่งที่ตัวเองพูดไว้มันจะไม่เหมือนว่าสู้ไปโกหกไปหรือเปล่า นายปิยบุตรคงเป็นห่วงภาพลักษณ์ของพรรคก้าวไกล ยังไม่เป็นรัฐบาลเลยทำอย่างนี้กันเสียแล้ว จะมีความเชื่อมั่นในอนาคตได้อย่างไร