น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากการดำเนินการทางกฎหมายเอาผิดเจ้าหนี้โหด และเข้าช่วยเหลือเรื่องเจรจาแก้หนี้ประชาชนแล้ว ยังได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการออกมาตรการเพื่อให้ลูกหนี้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อในระบบ และลดความจำเป็นของลูกหนี้ที่จะถูกผลักไปเป็นหนี้นอกระบบ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ต้องการให้มีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยในระดับต่าง ๆ เพื่อผู้มีรายได้น้อย ผู้ที่มีรายได้ไม่มั่นคงหรือไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จะได้เข้าถึงแหล่งทุน โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งการกู้หนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยไม่เป็นธรรม
“นายกฯ ยังได้ติดตามการปราบปรามเจ้าหนี้ผิดกฎหมาย ที่ปัจจุบันพบธุรกิจปล่อยกู้ออนไลน์ คิดดอกเบี้ยโหด ทวงหนี้ผิดกฎหมายเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทางตำรวจได้เข้าจับกุมและดำเนินการเอาผิดทั้งกระบวนการ อีกทั้ง เมื่อ เม.ย. ที่ผ่านมา ได้มีประกาศใช้พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2564 เพื่อไม่ให้มีการเรียกเก็บดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรมแล้วด้วย”
ทั้งนี้ที่ผ่านมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ให้กับลูกหนี้ ประกอบด้วยการลดค่างวด การขยายระยะเวลาการชำระหนี้ การเปลี่ยนประเภทหนี้จากระยะสั้นเป็นระยะยาว การพักชำระค่างวด การพักชำระเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน และการพักชำระเงินต้นและลดอัตราดอกเบี้ย โดยในเดือน มิ.ย. 64 มีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์แจ้งเข้าร่วมมาตรการ จำนวนทั้งสิ้น 288 ราย คิดเป็นจำนวนบัญชีที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งสิ้น 9,807 บัญชี
ขณะที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เริ่มการผ่อนเกณฑ์สินเชื่อลูกหนี้รายย่อย แบ่งเป็น สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้กำกับ และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เพื่อบรรเทาภาระการจ่ายหนี้ รวมถึงเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้เป็นการชั่วคราว ประกอบด้วย 1. ขยายเพดานวงเงินบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล กลุ่มผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท เป็น 2 เท่าของรายได้ จากเดิม 1.5 เท่า และไม่จำกัดจำนวนผู้ปล่อยสินเชื่อ จากเดิมไม่เกิน 3 ราย 2. คงอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ถูกปรับลดลงในช่วงการแพร่ระบาดก่อนหน้าเหลือ 5% ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2565 และ 3. ขยายเพดานวงเงิน “สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล” เป็น 40,000 บาทต่อราย จากเดิม 20,000 บาทต่อราย และขยายเวลาการชำระคืนจากเดิมไม่เกิน 6 เดือน เป็น 12 เดือน โดยทั้ง 3 มาตรการ มีผลจนถึงสิ้นปี 65
ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่ผิดกฎหมาย นับตั้งแต่ ต.ค. 59 จนถึงสิ้นเดือนก.ค. 64 มีการจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมายจำนวนสะสม 9,773 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือน มิ.ย.จำนวน 177 ราย