แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยเก็บไฟฟ้า ก่อนทำหน้าที่ป้อนไปให้อุปกรณ์ต่างๆ ของรถยนต์ทำงานได้ อาทิ ระบบจุดระเบิด มอเตอร์สตาร์ต นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ แบตเตอรี่รถยนต์ ไม่ใช่แหล่งผลิตกระแสไฟฟ้า แต่เป็นแหล่งเก็บไฟฟ้าสำรอง เมื่อใดก็ตามที่ไดร์ชาร์จ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ผลิตกระแสไฟฟ้า ไม่สามารถผลิตได้ทัน เช่นการขับขี่ในตอนกลางคืน ซึ่งใช้ระบบไฟเยอะกว่าปกติ ก็จะดึงไฟจากแบตเตอรี่มาใช้
ขณะเดียวกันถ้าไดร์ชาร์จทำงานได้ดีขึ้น หรือ หมุนเร็วขึ้น ก็จะมีกระแสไฟฟ้าเหลือจากการใช้งานก็จะถูกส่งกลับเข้าไปยังแหล่งเก็บไฟฟ้าสำรอง (แบตเตอรี่) จนกว่าจะเต็ม ทั้งนี้แบตเตอรี่จะจ่ายไฟออกอย่างเดียว ก็เฉพาะตอนสตาร์ตเครื่องยนต์เท่านั้น เพื่อส่งกระแสไฟเข้าสู่มอเตอร์สตาร์ต และระบบต่างๆ ของเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ตติดแล้ว ไดร์ชาร์จก็จะทำหน้าที่ประจุไฟเข้าแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง นั่นก็หมายความว่า กระแสไฟฟ้าจะถูกจ่ายออกไป และถูกประจุเพิ่มเข้าไป หมุนเวียนเข้าออกแบตเตอรี่อยู่เสมอ ไม่ได้จ่ายออกไปจนหมดอย่างเดียว
หมายความว่าแบตเตอรี่จะหมดได้ ก็มีอยู่เพียง 2 กรณี นั่นก็คือ
1. เก็บไฟไม่อยู่ หรือ หมดอายุการใช้งาน
2. ไดร์ชาร์จทำงานผิดปกติ ซึ่งทำให้ประจุไฟเข้าไปยังแบตเตอรี่รถยนต์ได้น้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการใช้งาน หรือไม่สามารถประจุไฟเข้าไปได้เลย
อายุการใช้งานของแบตเตอรี่รถยนต์
1. แบบเปียก (กรดตะกั่ว)
นิยมใช้กันเป็นส่วนใหญ่ แบ่งย่อยออกได้อีกเป็น 2 แบบ คือ แบบที่ต้องเติม และดูแลน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง กับ แบบกึ่งแห้ง MF (maintenance free) ไม่ต้องดูแลบ่อย ซึ่งจะกินน้ำกลั่นน้อยมาก โดยทั้ง 2 แบบนี้ จะมีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น ในแบบแรกนี้จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 1.5-2 ปี แต่ไม่ควรเกิน 3 ปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน ข้อดีคือมีราคาถูก อายุการใช้งานยาวนาน ถ้าดูแลอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ดี เมื่อถึงอายุการใช้งานของมัน ก็สมควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้แล้ว
2. แบบแห้ง SMF (Sealed Maintenance Free Car Battery)
ข้อดีคือไม่ต้องเติมน้ำกลั่น แต่มีราคาแพง แบตเตอรี่แบบนี้ไม่มีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น หรือไม่ก็ถูกซีลทับฝาไปเลย แต่จะมีตาแมวไว้สำหรับไว้คอยตรวจเช็กระดับน้ำกรด และระดับไฟชาร์จ
การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่นั้น ถ้าไม่ได้มีการติดตั้งอุปกรณ์อะไร เพิ่มเติมขึ้นมา อาทิ ระบบเครื่องเสียงหรือ อุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ต้องพึ่งกระแสไฟ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มขนาดของแบตเตอรี่ให้แอมป์สูงขึ้น เพราะจะเป็นการทำให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ อย่างไรก็ตามท่านสามารถเลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดของแอมป์สูงขึ้นได้โดยประมาณ 10-30 แอมป์ ตามความเหมาะสมของการใช้งาน แต่ไม่ควรที่จะเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ขนาดแอมป์ลงโดยเด็ดขาด
เลือกขนาดแอมป์แบตเตอรี่ให้เหมาะกับรถคุณ
-รถเก๋ง ญี่ปุ่น เครื่อง 1,200-1,900 ซีซี ใช้แบตเตอรี่ขนาด 45-60 แอมป์
-รถเก๋ง ญี่ปุ่น เครื่อง 2,000-3,000 ซีซี ใช้แบตเตอรี่ขนาด 60-75 แอมป์
-รถเก๋ง ยุโรป เครื่อง 2,000-3,000 ซีซี ใช้แบตเตอรี่ขนาด 75 แอมป์
-รถเก๋ง ยุโรป เครื่อง 2,800-4,000 ซีซี ใช้แบตเตอรี่ขนาด 100 แอมป์
-รถกระบะ เครื่อง 2,000-3,000 ซีซี ใช้แบตเตอรี่ขนาด 70-90 แอมป์
เมื่อตัดสินใจเลือก แบตเตอรี่ ที่เหมาะกับรถคุณได้แล้ว ก็อย่าลืมหาซื้อสายพ่วง แบตเตอรี่ ที่ได้ขนาด-มาตรฐาน ติดรถไว้ด้วยนะครับ เผื่อไว้ช่วยตัวเอง-เพื่อนร่วมทางยามคับขันครับ…
………………………..
คอลัมน์ : รู้ก่อนเหยียบ
โดย “ช่างเอก”
ติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรงที่ [email protected]