เมื่อวันที่ 8 พ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค และผอ.ศูนย์ปฏิบัติการเลือกตั้ง นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ หัวหน้าศูนย์ป้องกันการทุจริตเลือกตั้ง นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค และนายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรค แถลงข่าวกรณีพบความผิดปกติและข้อร้องเรียนของประชาชนต่อการเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา

นายประเสริฐ กล่าวว่า การเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตวานนี้ พบข้อร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนจำนวนมาก ซึ่งพรรค พท. พบว่าในการจ่าหน้าซองส่งบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าผิดพลาด โดยพบว่ากรรมการประจำที่เลือกตั้งกลาง จ่าหน้าซองส่งบัตรเลือกตั้งล่วงหน้าเพื่อนำกลับไปยังเขตเลือกตั้งที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ทั้งการระบุชื่อจังหวัดผิด ระบุเขตเลือกตั้งผิด และการเขียนรหัสจังหวัด รหัสเขตเลือกตั้งผิดเช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ จ.นนทบุรี และ จ.กาฬสินธุ์ เขต 6 ลงคะแนนให้พรรค พท. ที่เขตเลือกตั้งหนึ่งแต่คะแนนถูกส่งไปอีกเขตเลือกตั้งอื่น เป็นการผิดพลาดครั้งใหญ่ อาจทำให้คะแนนมีการคลาดเคลื่อนและไม่ควรเกิดขึ้น และการนับคะแนนจะไม่ตรงกับเจตนารมย์ของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง พรรค พท. มีความเห็นว่า ความผิดพลาดดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่ และมีความสำคัญยิ่งที่อาจจะส่งผลให้มีการร้องเรียนให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ หรือเสียไป เป็นความผิดพลาดในสาระสำคัญที่คณะกรรมการการเลือกตั้งต้องรับผิดชอบ

การลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าผิดพลาด พบว่าในวันสุดท้ายที่มีการลงทะเบียนผ่านทางอินเทอร์เน็ต ระบบล่ม ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถลงทะเบียนได้ ซึ่งเรื่องนี้ เลขาฯ กกต.ยอมรับข้อผิดพลาดว่า แม้ระบบล่ม แต่ยังสามารถเข้าไปดึงข้อมูลคำขอได้ และจะลงทะเบียนให้ภายหลัง แต่พบว่าในการเลือกตั้งล่วงหน้าวานนี้ เขต 14 บางกะปิ กทม. ที่หน่วยเลือกตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงพบว่าผู้ใช้สิทธิ 2 คน ภูมิลำเนาจังหวัดขอนแก่น ได้รับแจ้งจากประธาน กกต.เขต 14 ว่าการลงทะเบียนของทั้ง 2 คนไม่สมบูรณ์ ต้องกลับไปใช้สิทธิที่ขอนแก่น ในวันเลือกตั้ง พรรค พท. เห็นว่า การแถลงของเลขาฯ กกต.ว่าจะแก้ไข แต่ข้อเท็จจริงไม่มีการแก้ไข ทำให้ประชาชนเสียสิทธิ และเป็นภาระต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา เชื่อว่ายังมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าได้ด้วยเหตุนี้ กกต.ต้องแสดงความรับผิดชอบปัญหานี้อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่รับปาก แต่ไม่ดำเนินการ เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลง

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า 3.ความไม่สะดวกในการใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้า การเลือกตั้งล่วงหน้าครั้งนี้มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิล่วงหน้านอกเขต 2.2 ล้านคน ในวันที่ 7 พ.ค. เกิดปัญหาหลายจุด เช่น ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ 52,771 คน และมีอีกหลายที่มีผู้ลงทะเบียนหลายหมื่นคน พบว่าเกิดความแออัดคับคั่งในการลงคะแนน หลายคนต้องคอยนานกว่า 3 ชั่วโมง และมีผู้มาใช้สิทธิจำนวนมากไม่สามารถลงคะแนนเลือกตั้งได้ทันเวลา จากปัญหาการจราจร พรรค พท. เห็นว่า กรณีนี้ กกต.เคยมีประสบการณ์และเคยถอดบทเรียนมาแล้วว่าต้องกำหนดจุดลงคะแนนให้มาก กระจายตัวเพื่อไม่ให้เกิดความแออัด ไม่ให้เกิดปัญหาจราจร ปัญหาเหล่านี้มีความสำคัญ และเป็นข้อสังเกตว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น เราอยากได้คำตอบจาก กกต.เพื่อให้เกิดความกระจ่างให้การเลือกตั้งเกิดความบริสุทธิ์ยุติธรรมขึ้น และ 4.ข้อมูลผู้สมัครและพรรคการเมือง บนป้ายประชาสัมพันธ์หน้าหน่วยเลือกตั้งกลางไม่ครบถ้วน และยังสร้างความสับสน เช่น เขตหนองแขม ใบแนะนำตัวผู้สมัครไม่ครบ ที่จังหวัดสุรินทร์ เขต 4 รูปผู้สมัครไม่มี เป็นต้น

“การเลือกตั้งล่วงหน้าไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย แม้ในปี 62 ก็มีการเลือกตั้งล่วงหน้าขึ้น แต่การเลือกตั้งล่วงหน้าครั้งนี้ กลับมีความผิดพลาดและมีสิ่งผิดปกติมากมาย และส่อให้เห็นว่าการเลือกตั้งล่วงหน้าครั้งนี้ อาจนำไปสู่ปัญหาว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะนำมาซึ่งความสุจริตหรือไม่” นายประเสริฐ กล่าว

ทางด้าน นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ความบกพร่องผิดพลาดในการจัดการเลือกตั้งล่วงหน้า โดยเฉพาะการจ่าหน้าซองในการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า การผิดพลาดนั้น มีทั้งระบุชื่อจังหวัดผิด ระบุเขตเลือกตั้งผิด เขตจังหวัดผิด และเขตเลือกตั้งผิด เกิดขึ้นแล้วในบางจังหวัด เช่น นนทบุรี ซึ่ง กกต.แจ้งว่า จะแก้ไขได้ พรรค พท. เห็นว่าหากจ่าหน้าซองทำผิดทุกรายการ กกต.จะแก้ไขอย่างไร เรื่องนี้มีผลกระทบต่อการเลือกตั้งที่ต้องเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และอาจนำไปสู่การเรียกร้อง ฟ้องร้อง และมีปัญหาในข้อกฎหมาย พรรค พท. มีความเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง กกต.ไม่มีความพร้อมในแง่ของการจัดการอบรมให้ความรู้กรรมการประจำหน่วย ซึ่งทราบมาว่าบางหน่วย กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเข้าใจว่า ช่องตาราง 5 ช่อง เป็นช่องรหัสไปรษณีย์ จึงเกิดความผิดพลาดขึ้น ปัญหาใหญ่ที่สุดคือ กกต.แก้ไขได้จริงหรือไม่ เพราะเกรงว่าเกิดปัญหาติดตามมาอีกจำนวนมาก

นอกเหนือจากความผิดปกติในการเลือกตั้งล่วงหน้าวานนี้ ยังมีกรณีที่ กกต.ต้องตอบคำถามถึงพรรคการเมือง เรื่องการแต่งตั้งผู้สังเกตการณ์ประจำหน่วยเลือกตั้ง เนื่องจาก กกต.ได้เปลี่ยนแนวปฏิบัติการส่งผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งกะทันหัน ทั้งที่กฎหมายการเลือกตั้งไม่ได้เปลี่ยน โดยให้พรรคการเมืองบันทึกค่าตอบแทนของผู้สังเกตการณ์ประจำหน่วยเลือกตั้ง จากเดิมที่เป็นของผู้สมัคร ส.ส. จะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ กกต.เคยตอบข้อหารือของพรรคการเมืองมาก่อนหน้านี้ว่า ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้ผู้สมัคร ส.ส.เป็นผู้บันทึกค่าใช้จ่าย

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า หากพรรคการเมืองต้องเป็นผู้บันทึกค่าตอบแทนผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้ง จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 33 ล้านบาท จากหน่วยเลือกตั้งทั้งหมด 95,000 หน่วย (ไม่รวมหน่วยเลือกตั้งล่วงหน้า) ในขณะที่วงเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของพรรคการเมืองถูกจำกัดอยู่ที่ 44 ล้านบาท และได้ใช้จ่ายไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ เมื่อ กกต.มาเปลี่ยนแนวทางกะทันหันเช่นนี้ พรรคการเมืองจึงไม่อาจส่งผู้สังเกตุการณ์ประจำหน่วยเลือกตั้งได้ และต้องถอนผู้สังเกตการณ์ประจำหน่วยเลือกตั้งที่ส่งรายชื่อให้ กกต.ไปแล้วในการเลือกตั้งล่วงหน้า และการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในวันที่ 14 พ.ค.

“พรรค พท. จึงไม่เข้าใจว่า เหตุใด กกต.จึงเปลี่ยนแนวทางที่ปฏิบัติตั้งแต่เดิม เรื่องนี้กระทบต่อพรรคการเมือง และจะเป็นเหตุให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตเที่ยงธรรม” นายชูศักดิ์ กล่าว

ขณะที่ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ศูนย์ป้องกันอำนวยการปราบโกง ได้รับข้อมูลการร้องเรียนจากประชาชน ได้รับการร้องเรียนได้รับแจ้งข้อมูลจากพี่น้องประชาชนในบางพื้นที่แจ้งมาว่า พบเหตุผิดปกติส่อทุจริตหลายประการ เช่น 1.นายตำรวจระดับรองผู้บังคับการ จ.อำนาจเจริญ คนสนิทเจ้าแม่เงินกู้ มีพฤติกรรมวางตัวไม่เป็นกลาง ข่มขู่ผู้สมัครรับเลือกตั้งพรรคอื่น 2.ข้าราชการระดับสูงฝ่ายปกครอง ในอำเภอหนึ่งใน จ.นราธิวาส และ อ.โนนไทย จ.นครราชสีมา มีพฤติกรรมวางตัวไม่เป็นกลาง

“ผมขอฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการเลือกตั้ง การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นครั้งประวัติศาสตร์ ตำรวจต้องวางตัวเป็นกลาง หากท่านมีบทบาทเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และวางตัวไม่เป็นกลาง ประชาชนเขาจับตาดูท่านอยู่ เพื่อนตำรวจก็จับตาท่านอยู่ อยากจะขอเตือนสำหรับข้าราชการตำรวจว่า ที่ผ่านมาทำอะไรไป ถ้าทำอยู่ขอให้หยุด หยุดการกระทำที่ไม่ชอบนั้นเสีย ถ้าจะคิดทำอีก ให้เลิกคิด หูตาของผม และทีมงานของผมคือประชาชน ต้องขอขอบคุณอีกครั้ง ท่านได้ทำตามอุดมคติของตำรวจหรือยัง ที่กล่าวไว้ว่า ‘เคารพเอื้อเฟื้อต่อหน้าที่ กรุณาปรานีต่อประชาชน อดทนต่อความเจ็บใจ ไม่หวั่นไหวต่อความยากลำบาก ไม่มีในลาภผล มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อปวงชน ดำรงตนในยุติธรรม กระทำการด้วยปัญญา และรักษาความไม่ประมาทเสมอชีวิต ท่านกรุณาไปทบทวนนะครับ พี่น้องประชาชนทั้งประเทศจับตาดูท่านอยู่” พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ กล่าว.