กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์!! กันอีกแล้ว…หลังมีกระแสข่าวว่า กรมสรรพากรเตรียมเก็บภาษีคนไทยไปเมืองนอก โดยกำหนดอัตราภาษีการเดินทางไว้ไม่เกินครั้งละ 5,000 บาท
เอาล่ะสิ!! ทำเอาคนไทยทั้งประเทศ “ช็อก” กันเป็นแถว เพราะที่ผ่านมาคนไทยแห่เดินทางท่องเที่ยวเมืองนอกในแต่ละปีมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว
อย่างล่าสุดเมื่อปี 62 ก่อนเกิดโควิด ก็ทำนิวไฮ โดยมีคนไทยที่ไปเที่ยวเมืองนอกมากถึง 10.5 ล้านคน มีค่าใช้จ่ายประมาณ 3 แสนล้านบาท
แถมปีนี้…ยังคาดกันว่าจะมีคนไทยเดินทางออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศประมาณ 8 ล้านคน หลังจากที่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ต้องหยุดเดินทางเพราะปัญหาโควิด
อย่าลืมว่า คนไทยก็ไม่ต่างจากคนชาติอื่นทั่วโลกที่นิยมชมชอบการเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ จะไปด้วยการเที่ยวล้างแค้น การชอปปิง การฮันนีมูน การเปลี่ยนบรรยากาศ ไปสัมผัสอากาศหนาว และอีกสารพัดเหตุผล
เป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิเสธได้!! ที่คนที่มีกำลังหรือแม้ไม่มีกำลังก็ตาม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง ก็เป็นเส้นทางที่นิยม
หรือจะเป็นเส้นทางใหม่อย่าง เวียดนาม สปป.ลาว หรือมาเลเซีย ที่ ณ เวลานี้ ก็กำลังเป็นที่ฮิตติดลมบนไม่น้อยหน้าประเทศอื่นทีเดียว
แม้เวลานี้ ยังไม่มีข้อมูลออกมาแน่ชัดว่า กรมสรรพากรจะเก็บภาษีคนไปต่างประเทศ เมื่อใดกันแน่ แต่ล่าสุด ก็มีการเปิดรับฟังความเห็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2526 ไปจนถึงวันที่ 17 พ.ค.นี้
เหตุผลใหญ่!! ของการเรียกเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการหารายได้ให้แก่รัฐบาล ที่สำคัญยังเป็นการป้องกันไม่ให้คนไทยนำเงินตราออกนอกราชอาณาจักรเกินสมควร และยังช่วยบรรเทาปัญหาการขาดดุลการค้า และช่วยรักษาดุลการชำระเงินของประเทศ
แม้ พ.ร.ก.ฉบับนี้จะประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2526 หรือกว่า 40 ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยมีการจัดเก็บภาษีแต่อย่างใด!!
นั่น…จึงกลายเป็นคำถาม? กลายเป็นที่สงสัย? ว่าฐานะการคลังนั้นยังแข็งโป๊กดีอยู่หรือไม่? เพราะล่าสุดก็พบว่าจำนวนเงินคงคลังล่าสุดในเดือน มี.ค. 66 ก็หลุด 2 แสนล้านบาทไปแล้ว
ขณะที่…ก่อนหน้านี้ กรมสรรพากรก็หันมาเก็บภาษีขายหุ้นในอัตรา 0.1% ของมูลค่าที่ขาย แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา อย่างเป็นทางการก็ตาม
สำหรับอัตราภาษีในการเดินทางออกราชอาณาจักรของกรมสรรพากร แม้ตามกฎหมายแล้วจะกำหนดอัตราภาษีการเดินทางไว้ไม่เกินครั้งละ 5,000 บาท
แต่ก็มีการออกกฎกระทรวงกําหนดอัตราภาษีการเดินทางไว้ คือ การเดินทางโดยทางอากาศ ครั้งละ 1,000 บาท และการเดินทางโดยทางบกหรือทางนํ้า ครั้งละ 500 บาท
ไม่เพียงเท่านี้!! หากมีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ก็จะได้รับโทษ คือ เสียเบี้ยปรับ 2 เท่า และเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน หรือเศษของเดือนโดยไม่รวมเบี้ยปรับ และยังมีโทษทางอาญา จําคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 3,000 บาท
ส่วนบรรดาผู้ประกอบการขนส่งที่รับชําระภาษีการเดินทางจากผู้เสียภาษีแล้ว แต่ไม่นําส่งภาษี ต้องรับโทษเช่นกัน คือ ต้องเสียเบี้ยปรับ 2 เท่า และเสียเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือน หรือเศษของเดือน ของภาษีที่ต้องเสียโดยไม่รวมเบี้ยปรับด้วยเช่นกัน
สำหรับคนที่ต้องเสียภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ก็ผู้ที่มีสัญชาติไทย เดินทางออกไปจากประเทศ ไม่ว่าผู้เดินทางจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ ก็ตาม ถือว่าเป็นผู้มีหน้าที่ที่ต้องเสียภาษีตาม พ.ร.ก.ฉบับนี้
เว้นแต่ะได้รับยกเว้นตามกฎหมายอย่างคนที่ทำงานด้านการขนส่ง ที่ไม่ต้องเสียค่าโดยสาร แปลความก็ประเภท นักบิน แอร์ รวมไปถึงภิกษุ สามเณร
นอกจากนี้ยังรวมถึงผู้ที่ต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ บรรดาแรงงานที่มีสัญญาจ้างที่กรมแรงงานเห็นชอบ หรือเจ้าหน้าที่ทางการทูต เป็นต้น ส่วนวิธีการเสียภาษี ก็ต้องเสียกับผู้ประกอบการขนส่ง หรือตัวแทน ไม่ว่าจะเป็นทางเครื่องบิน ทางเรือ ทางรถไฟ หรือทางอื่น ก็ตาม
แม้…เวลานี้เรื่องการจัดเก็บภาษีนี้ยังไม่มีความชัดเจนออกมาก็ตาม แต่บรรดาภาคเอกชน ก็ออกมา “ชน” กันแล้ว เพราะเห็นว่าเป็นผลทางลบต่อภาพรวมของประเทศแน่นอน
เห็นอย่างนี้แล้ว!! เชื่อเถอะพอถึงเวลา… ก็ต้องลองดูว่า ฝ่ายการเมืองจะตีตกหรือเปล่า เพราะกระเทือนเก้าอี้แน่ๆ
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”