เมื่อเร็วๆ นี้ หลายๆ คนคงจะเคยเห็นข่าวเกี่ยวกับ นักแสดงเจ้าบทบาทชื่อดังระดับโลกวัย 67 ปี อย่าง “Bruce Willis” เป็นโรคความจำเสื่อม Frontotemporal Dementia จนต้องทำให้อำลาวงการบันเทิงลงไป

ซึ่งถ้าหากพูดถึง โรคความจำเสื่อม Frontotemporal Dementia นั้น ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูกันเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่เรามักจะได้ยินว่าโรคสมองเสื่อมคืออัลไซเมอร์ (Alzheimer) วันนี้ นพ.ชยานุชิต ชยางศุ แพทย์อายุรศาสตร์ประสาทวิทยา ประจำศูนย์โรคระบบสมอง โรงพยาบาลนวเวช จึงได้พูดคุยถึงเรื่องดังกล่าวผ่าน “Healthy Clean” พร้อมเผยถึงความเกี่ยวข้องระหว่าง PM 2.5 กับโรคความจำเสื่อม มีมากกว่าที่คิด!

ก่อนอื่นอยากให้รู้จักคำว่า Dementia ก่อน คำนี้แปลว่าสมองเสื่อม ซึ่งจริง ๆ แล้วโรคสมองเสื่อม มีหลายชนิด ที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือ Alzheimer นั่นเอง ส่วนกรณี Bruce Willis นั้นก็เป็นโรคสมองเสื่อมอีกชนิดที่มีอาการแตกต่างไปจาก Alzheimer ชื่อเรียกจึงแตกต่างกัน โดย “Frontotemporal Dementia จะพบได้ในคนอายุน้อยกว่า อายุเฉลี่ย 40-65 ปี” มีอาการได้หลากหลาย บางคนจะมีอาการหงุดหงิดฉุนเฉียว อารมณ์เกรี้ยวกราด พูดคำหยาบ ด่าทอ โดยอาจจะเป็นจากนิสัยเดิมของผู้ป่วยอยู่แล้ว แต่เพิ่มความรุนแรงขึ้นหรือเปลี่ยนไปจากนิสัยเดิมไปเลยก็ได้ (Behavioral type FTD) หรือบางคนอาจจะมีปัญหาเรื่องการใช้ภาษา พูดไม่ได้ นึกคำพูดไม่ออก ไม่เข้าใจคำพูด มีปัญหาในการอ่าน เขียน (Language type FTD-primary progressive aphasia)

ซึ่งจะแตกต่างจาก Alzheimer ที่มักจะพบในคนอายุ 65 ปีขึ้นไป อาการจะเด่นเรื่องความจำที่แย่ลงก่อน มักจะเป็นความจำที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน แต่ความจำเก่า ๆ ก็จะยังคงอยู่ ปัญหาด้านอารมณ์ พฤติกรรม การใช้ภาษา มักจะไม่ได้เด่นในช่วงแรก แต่อาจจะเกิดขึ้นตามมา หลังจากมีปัญหาเรื่องความจำก่อนได้ถึง 5-10 ปี

“โรคอย่าง FTD หรือ Alzheimer เป็นโรคที่เกิดจากการมีของเสียมากผิดปกติแล้วไปสะสมในเซลล์สมอง ส่งผลทำให้เกิดการเสื่อมของสมองเร็วกว่าคนทั่วไป ปัจจุบันเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับยีน (Gene) หรือสารพันธุกรรมที่ผิดปกติไป ซึ่งโรคกลุ่มนี้ในปัจจุบันยังป้องกันหรือรักษาให้หายขาดไม่ได้”

แต่จริง ๆ แล้วยังมีหลากหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อม เช่น เส้นเลือดสมองตีบ, เลือดออกในสมอง (ถ้าเกิดบริเวณที่มีผลกับความจำ), การขาดสารอาหารบางชนิด Thyroid, Vitamin B, หรือ ธาตุเหล็ก, การติดเชื้อโรคบางชนิดเช่น Syphilis หรือ HIV และที่สำคัญมาก ๆ อีกสิ่งหนึ่งซึ่งพวกเรากำลังประสบปัญหากันอยู่ก็คือ PM 2.5

“หลายคนคงยังไม่ทราบว่า PM 2.5 ที่เรากำลังประสบปัญหากันอยู่ในทุกวันนี้ เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมได้” มีการศึกษาที่ยืนยันว่า PM 2.5 รวมทั้งมลภาวะชนิดอื่นในอากาศมีผลต่อการทำงานของเซลล์สมอง โดยเมื่อร่างกายเราได้รับสารพิษเหล่านี้เข้าไป จะไปกระตุ้นการอักเสบในร่างกายไปจนถึงการอักเสบของเซลล์สมอง ส่งผลให้การทำงานของเซลล์สมองผิดปกติไป เกิดการตกค้างของสารพิษภายในเซลล์จนส่งผลให้มีปัญหาถึงสมองเสื่อมได้

จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกา จากงานวิจัยในหัวข้อ Long-term effects of PM 2.5 components on incident dementia in the Northeastern United States ซึ่งทำการเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลา 7 ปี ในคนอายุมากกว่าหรือเท่ากับ 65 ปี จำนวน 2,000,000 คน ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มี  PM 2.5 พบว่าเพิ่มโอกาสของการเกิด Dementia ถึง 16% ในทุก ๆ 10µg/m3 ของ PM 2.5 หน่วยนี้ก็คือหน่วยวัด PM 2.5 ในบ้านเราเช่นกัน ใช้หน่วยเดียวกัน บางวัน PM2.5 ขึ้นไปถึง 100µg/m3 อันนี้ก็ต้องลองจินตนาการกันเองว่า เซลล์สมองเราจะเจ็บป่วยไปขนาดไหน

เรื่องที่น่าตกใจคือ ค่าเฉลี่ย PM2.5 ในการศึกษาวิจัยชิ้นนี้อยู่แค่เพียง 8.8 µg/m3 ในบ้านเรา ก็มีเฉพาะบางเดือนที่ขึ้นไปถึง 100+ µg/m3 บางเดือนดี ๆ อาจจะแค่ 10-20µg/m3

ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่ออยากให้ตระหนักถึงปัญหาของ PM 2.5 ที่ส่งผลมาถึงสมองได้ร้ายแรงอย่างที่คาดไม่ถึง คนส่วนใหญ่จะทราบแค่เพียงส่งผลกับทางเดินหายใจ ปอด หัวใจ แต่จริง ๆ แล้วสมองก็บาดเจ็บไม่แพ้กัน

ในเด็กเองก็มีการศึกษาพบว่าเด็กที่อยู่ในมลพิษที่มี PM 2.5 ปริมาณสูง หรือเด็กในครรภ์มารดาก็ตาม ต่างมีปัญหาของการพัฒนาสมอง ทั้งในแง่ความจำ ความเฉลียวฉลาด ตลอดจนปัญหาด้านพฤติกรรมมากกว่ากลุ่มที่อยู่ใน PM 2.5 น้อยกว่า

คำแนะนำในขณะนี้เฉพาะหน้า ก็คงต้องป้องกันตัวเองกันก่อน ใส่หน้ากากป้องกัน PM 2.5 แล้วโหลด Application ช่วยการตรวจสอบค่าของ PM 2.5 ในแต่ละวัน ในแต่ละพื้นที่ หรือใช้เครื่องมือวัดที่อาจจะมีกันในบ้านโดยส่วนใหญ่แล้ว ทั้งหมดก็พอจะช่วยบรรเทาปัญหาไปได้บ้าง แต่ที่สำคัญคือการแก้ปัญหาในระยะยาวซึ่งคงต้องเป็นเรื่องที่อาศัยความร่วมมือในทุกภาคส่วนต่อไป..

………………………………………….
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”